Athlon Spitfire
        แอธลอน 'Spitfire' นั้นเป็นที่น่าสนใจโดยจะเป็นแบบ Socket A แบบ 462 ขาและจะมีสํญญาณนาฬิกาตามหลังแอธลอนตัวอื่นๆเพราะว่ามันจะต้องทำการต่อกรกับ อินเทลอยู่ Spitfire นั้นน่าจะเป็นชิพที่เป็นที่สนใจของนักเล่นเกมส์อย่างมากเพราะว่าสามารถที่จะโอเวอร์คล็อคได้ง่ายดาย (เพราะว่าขายที่สัญญาณนาฬิกาที่ต่ำ)และยังมีราคาถูก รวมทั้งมีแคชระดับสองขนาด 256KBytes ซึ่งตรงกับเป้าหมายสำหรับการเล่นเกมส์อย่างดีทีเดียว

        ชิพตัวนี้จะมีขนาดของดายประมาณ 114 ตารางมิลลิเมตรและพร้อมด้วยแผงวงจรหลักแบบ Socket A ที่มีราคาต่ำจะทำให้สามารถแข่งขันกับ Coppermine 128  ได้
ถ้า Spitfire เปิดตัวในช่วงเวลาดังกล่าว K6-2+ และ K6-3+ อาจจะมีความเร็วไม่เกิน 600MHz สำหรับกระบวนการผลิต 0.18ไมครอนโดยใช้ทองแดงจะทำให้สามารถเร่ง สัญญาณนาฬิกาขี้นได้มาก ก็เป็นที่ชัดเจนว่าเอเอ็มดีนั้นจะแทนที่ตลาดในส่วนของ K6 ด้วย Spitfire สำหรับ Socket A Athlon นั้นไม่มีปัญหาใดๆที่จะแข่งขันกับ coppermine128 สำหรับกระบวนการผลิต 0.18 ไมครอนของสายการผลิต K6 นั้น ทำให้ขนาดของดายเล็กมาก (<70 ตารางมิลลิเมตร) และจะบริโภคพลีงงานต่ำซึ่งจะเหมาะกับโปรเซสเซอร์สำหรับคอมพิวเตอร์มือถือ

        Thunderbird นั้นจะเหมาะกับ powerusers ซึ่งจะมาพร้อมกับสัญาญาณนาฬิกาที่สูงกว่าโดยจะมาในรูปแบบของทั้ง Slot A และ Socket A ซึ่งในเวอร์ชั่นของ Slot A นั้นอาจจะไม่มีแคขระดับสามอยู่บนบอร์ด สำหรับแอธลอนในรุ่นต่อไปนั้นคือ Mustang โดยจะมีแคชระดับสองออนดายขนาด 2MBytesซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าทั้งเอเอ็มดีและอินเทล จะเลือกใช้แคชแบบออนดายมากกว่า SRAMs ที่เราเจอกันอยู่ใน P!!! และ แอธลอนในตอนนี้ แอพพลิเคชั่นส่วนใหญ่นั้นจะทำงานได้ดีที่แคชขนาด 256-384KB และค่า Latency ของ SRAMs นั้นจะมากกว่า cache แบบ on die 3-5 เท่า

        แอธลอนจะทำให้เอเอ็มดีเปลี่ยนแปลงสายการผลิตขิงตนไปอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กล่าวคือ แอธลอนพร้อมด้วย cache แบบ on die จะทำงานด้วยหน่วยความจำ ที่เร็วกว่าซึ่งจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้มาก

        ในปี 2000 นี้จะมีแค่สองอย่างเท่านั้นที่จะยับยั้งแอธลอนไม่ให้คุมตลาดของซีพียูได้ในครึ่งปีแรกของปี 2000 ก็คือ ขาดแคลน mainboard ทั้ง Slot A และ Socket A และไม่สนับสนุนชุดคำสั่ง SSE ของอินเทล

PAGE 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7 / 8 / 9
CONTENT