1)
เลือกใช้ exclusive cache เป็นไปได้อย่างมากทีเดียวที่ Thunderbird และ Spitfire
จะใช้ exclusive L2-cache เหมือนกับโปรเซสเซอร์ Joshua ของ VIA
อืม...แล้วเจ้า exclusive cache
เนี่ยมันทำงานอย่างไรล่ะ
อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อแคชแบบปกตินั้นเกิด cache miss ขึ้นใน cache L1 นั้น ข้อมูลหรือว่าคำสั้งนั้นๆจะไม่สามารถที่จะเจอในส่วนของ cache L1 ได้ดังนั้นจึงต้องมีการ fetch จากหน่วยความจำแคชระดับสอง โดย cache line ใน cache L1 จะได้ไม่ถูกใช้ในขณะนั้นแต่จะ ถูกแทนที่โดยข้อมูลที่รับมาใหม่พูดง่ายๆก็คือต้องหาที่ว่าง ก่อนที่จะใส่ข้อมูลลงไปนั่นเอง
สำหรับ exclusive L2-cache นั้น cache line ของ cache L1 ตัวเดิม (ซึ่งเป็นตัวที่จะถูกแทนที่) จะเขียนบน cache L2 ก่อน เมื่อเกิด cache miss เกิดขึ้น fetch line ก็เพียงแค่เขียนทับลงใน cache line ของ cache L1ได้เลยโดยไม่ต้องมองหาที่ว่างก่อน โดย cache L2 นั้นทำงานคล้ายกับ 'overflow bucket' สำหรับ cache L1
ดังนั้น exclusive L2-cache จึงมีข้อได้เปรียบมากโดย 128 KBytes 2-way associative L1-cache เมื่อรวมเข้ากับ 256KBytes 4-way associative L2-cache จะเหมือนกับจะมี 384KBytes 6-way associative cache ทีเดียว ซึ่ง hit rate ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
2) เอาแคขระดับสองออกไปเลย กล่าวคือ ด้วยเทคนิคการผลิตในสมัยใหม่นั้นก็เป็นไปได้ที่เราจะได้ซีพียูที่มีเพียงแค่ cache L2 ที่ถูกต้องเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเราอาจจะต้องนำส่วนที่ผิดพลาดออกไปเพื่อให้ซีพียูของเราทำงานได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้นแต่ว่าขนาดของ cache L2 ก็จะต้องเล็กลงสองเท่า