นิทาน
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ในถนนสายหนึ่ง เด็กสามคนเดินจูงมือกันมาเรื่อย ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า ทั้งสามคนเป็นพี่น้องกัน ปีเตอร์ เจนนิเฟอร์ และเดนนิส พวกเขาหนีออกจากบ้านมาเพราะว่าต้องการมาตามหา แม่มด ตามที่พวกเขาได้ยินคำเล่าลือมา พวกเขาเดินมาเรื่อย ๆ จนถึงบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง
เจนนิเฟอร์รีบเคาะประตูบานใหญ่นั้นทันที ก๊อก ก๊อก มีใครอยู่มั่ยคะ สักครู่ก็มีหญิงวัยกลางคนมาเปิดประตู เจนนิเฟอร์รีบกล่าวขึ้นทันที เอ่อ คุณคือคุณไวท์ ใช่มั่ยคะ ? ใช่จ้ะ พวกเธอมีธุระอะไรกับฉันหรือจ๊ะ ? หญิงผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล คือพวกเราพูดตามตรงเลยนะคะ พวกเราอยากรู้ว่าคุณเป็นแม่มดจริง ๆ รึเปล่าน่ะค่ะ เจนนิเฟอร์กล่าว พวกเธอกล้าหาญมากนะ ฉันชอบเด็กแบบพวกเธอ เอาซิฉันเป็นแม่มดจริง ๆ น่ะแหละ ปีเตอร์ซึ่งเป็นคนขี้สงสัยและหัวดื้อที่สุด ในบรรดาเด็กทั้งสามคนกล่าวขึ้นว่า พูดก็พูดได้ ใครจะไปเชื่อ ถ้าอย่างนั้นฉันว่าเด็กดื้ออย่างเธออยากจะลองเป็นคางคกดูบ้างมั้ยล่ะ เมื่อแม่มดพูดจบ ปีเตอร์ก็กลายร่างเป็นกระต่ายสีขาวหน้าตา น่ารักทันที ฉันไม่เคยเสกใครเป็นคางคกได้เลยจริง ๆ นะ แม่มดกล่าวอย่างอ่อนใจ เจนนิเฟอร์ จึงรีบบอกให้แม่มดเสกให้ปีเตอร์กลับเป็นเหมือนเดิม แต่แม่มดบอกว่าเวทมนตร์ของเธอจะมีฤทธิ์อยู่ได้แค่สิบนาทีเท่านั้น
เดนนิสน้องชายคนเล็กขอให้แม่มดแสดงเวทมนตร์สนุก ๆ ให้พวกเขาดู แต่แม่มดบอกว่าเธอเป็นแม่มดฝึกหัด ยังไม่สำเร็จหลักสูตรแม่มด เพราะเธอต้องหาคาถาบทสุดท้ายให้ได้ซะก่อน แล้วที่ที่จะสามารถหาคาถาบทสุดท้ายได้ก็คือ เกาะนาบูดู แล้วเธอก็เรียกเด็กสามคนไปนั่งบนเตียงของเธอ พร้อมกับหยิบลูกแก้วลูกหนึ่งมาติดไว้ที่หัวเตียง ทันใดนั้นพวกเขาก็ไปโผล่ที่ท้องทะเล แห่งหนึ่ง
สิ่งที่น่าตื่นเต้นสำหรับท้องทะเลแห่งนี้ก็คือ สัตว์ทุกตัวที่นี่พูดได้ พวกมันใส่เสื้อผ้าและใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ทุกประการ มีโรงละคร ห้างสรรพสินค้า เวทีคอนเสริต์ ระหว่างที่พวกเขากำลังตื่นเต้นอยู่กับภาพเบื้องหน้านั้น มีปลาหมึกตัวหนึ่งว่ายน้ำเข้ามาคุยกับพวกเขา แม่มดจึงบอกว่าเธอต้องการจะขึ้นไปบนแผ่นดินของเกาะนาบูดู ปลาหมึกตัวนั้นเตือนเธอว่าไม่ควรขึ้นไป พวกสัตว์บนแผ่นดินดุร้าย และไม่ชอบมนุษย์ แต่ถึงอย่างไรเธอก็ต้องไปให้ได้ เพื่อตามหาคาถาบทสุดท้าย แล้วเธอก็ให้เดนนิสเอาลูกแก้วติดไว้ที่หัวเตียง แล้วเธอก็ท่องคาถาว่า ไปบนแผ่นดินนาบูดู
พลันพวกเขาก็มาโผล่ที่ชายหาดของเกานาบูดู พอดีมีวัวตัวหนึ่งกำลังนอนอาบแดดอยู่ วัวตัวนั้นไล่ให้พวกเขากลับไป แต่แม่มดบอกว่าเธอต้องการพบพระราชา วัวตัวนั้นจึงบอกว่า ตอนนี้พระราชากำลังทรงกริ้ว เพราะพระองค์ทรงโปรดกีฬาฟุตบอลมาก แต่ฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศ ซึ่งพระองค์ทรงร่วมแข่งด้วยมีอันต้องงดไป เพราะกรรมการเกิดบาดเจ็บ แม่มดจึงบอกว่าเธอจะเป็นกรรมการให้ เมื่อพระราชาทรงทราบดังนั้นก็ทรงพอพระทัยเป็นอันมาก
เมื่อถึงวันแข่งขันที่สนามฟุตบอล มีบรรดาประชากรสัตว์ของเกาะนาบูดูมาดูการแข่งขันกันอย่างคับคั่ง พระราชาทรงอยู่ในทีมสีเหลือง ซึ่งดูเหมือนจะได้เปรียบอยู่มาก เพราะมีทั้งแรด จระเข้ และบรรดาสัตว์ที่แข็งแรงทั้งหลาย ส่วนทีมสีฟ้ามีแต่สัตว์ที่อ่อนแอกว่า
เมื่อแม่มดเป่านกหวีดเริ่มการแข่งขัน ทีมสีเหลืองก็นำเอาบรรดากลยุทธ์ในการโกงออกมาใช้ โดยใช้ให้หนูไปหลอกช้าง ซึ่งเป็นผู้รักษาประตูของทีมสีฟ้า แล้วให้จระเข้ใช้หางเลี้ยงลูกเข้าประตูไปในที่สุด เมื่อหมดเวลาทีมสีเหลืองจึงเป็นฝ่ายชนะ พระราชาทรงพอพระทัยเป็นอันมาก ให้การต้อนรับแม่มดและเด็กทั้งสามคนเป็นอย่างดี ในระหว่างที่พระราชากำลังดีพระทัยอยู่นั้น แม่มดก็แอบสับเปลี่ยนเหรียญทองที่มีคาถาบทสุดท้ายจารึกอยู่ของพระราชาไป
เมื่อกลับถึงบ้าน แม่มดก็ให้เด็กทั้งสามคนนำรองเท้ามาเพื่อใช้ทดลองกับคาถาบทนี้ ซึ่งเป็นคาถาที่ทำให้สิ่งไม่มีชีวิตเคลื่อนไหวได้ เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในความสงบ จู่ ๆ ก็มีทหารเยอรมันบุกเข้ามาจับตัวพวกเขาไปขังไว้ในพิพิธภัณฑ์อาวุธโบราณของประเทศอังกฤษ ทหารเหล่านี้จะยึดประเทศอังกฤษนั่นเอง
แล้วเดนนิสก็เกิดความคิดขึ้นว่า แม่มดควรจะใช้คาถาบทสุดท้ายให้เป็นประโยชน์ แล้วแม่มดก็ท่องคาถาบทสุดท้าย ทันใดนั้นบรรดาเสื้อเกราะอัศวินต่าง ๆ ก็มีชีวิตขึ้นมา กลายเป็น กองทัพเสื้อเกราะ โดยมีแม่มดนำทัพเป็นแม่ทัพใหญ่ออกไปสู้กับทหารเยอรมัน พวกทหารเหล่านั้นทั้งยิง ทั้งฟัน ก็ไม่สามารถทำอะไรบรรดาทหารทุกกองทัพเสื้อเกราะได้ จนต้องแตกทัพพ่ายแพ้หนีกลับไป
เป็นอันว่าแม่มดได้กล่าวเป็นแม่มดที่สมบูรณ์แล้ว เพราะเธอไม่เพียงแต่จะฝึกคาถา บทสุดท้ายสำเร็จ แต่เธอยังสามารถนำความสงบสุขมาสู่ประเทศอังกฤษได้อีกด้วย แล้วการตามหาแม่มดของเด็กทั้งสามคนก็สิ้นสุดลง พวกเขาได้พบกับแม่มดแล้วก็ได้ผจญภัยไปในดินแดนมหัศจรรย์ ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเขาต้องลาจากแม่มดเพื่อกลับบ้านเสียที
โชติรส แตงดี
ม.๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณชายป่า ครอบครัวนี้มีเพียงแม่ลูกเพียงสองคนเท่านั้น ทั้งสองหาเลี้ยงชีพโดยการทำสวนผัก แล้วนำไปขายในตลาด ทุก ๆ วันผู้เป็นแม่จะต้องนำผักไปขายที่ตลาดแต่เช้า วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ขณะที่นางกำลังจัดผักที่จะนำไปขาย นางก็พูดกับลูกของนางว่า แก้วแม่จะไปขายผัก ลูกอยู่บ้านก็อย่างลืมทำงานบ้านให้เรียบร้อยล่ะ พูดจบนางก็เดินจากไป เมื่อแม่ไปแล้วแก้วก็จัดการทำงานบ้านทุกอย่าง ตั้งแต่กวาดบ้าน ถูกบ้าน ซักผ้า ล้างจาน หรือแม้แต่กระทั่งตักน้ำใส่ตุ่ม กว่าแก้วจะทำงานเสร็จก็เป็นเวลาใกล้เที่ยง แก้วรู้สึกหิวจึงไปกินข้าว พอกินข้าวเสร็จแล้วก็เผลอหลับไป มารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็เย็นมากแล้ว แก้วจึงรีบลงไปจัดการทำงานที่ในสวน แล้วลงมือรดน้ำพรวนดินพวกผักต่าง ๆ
เมื่อกล่าวถึงหญิงชราซึ่งเป็นเวลาเย็นมากแล้วก็ยังขายผักไม่หมด นางรู้สึกเป็นห่วงลูกเพราะเกรงว่า ถ้ามืดค่ำแล้วลูกจะต้องอยู่คนเดียว นางจึงรีบเก็บของเพื่อที่จะกลับบ้าน
ทางด้านของแก้ว เมื่อทำงานบ้านและหุงหาอาหารเรียบร้อยแล้วแม่ก็ยังไม่กลับสักที ก็เกิดความรู้สึกเป็นห่วง กลัวว่าแม่จะเป็นอันตราย ก็รีบออกไปตามหาแม่โดยไม่กลัวอันตรายใด ๆ ตอนนี้เป็นเวลามืดค่ำแล้ว แก้วซึ่งเดินตามหาแม่ด้วยความรีบร้อน ก็ได้หลงทางเข้าไปในป่าลึกโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว แก้วเดินไปเรื่อย ๆ จนเข้าไปในป่าดงดิบ ซึ่งน่ากลัวมาก แก้วรู้สึกว่าตัวเองได้หลงทางเสียแล้ว เธอรู้สึกตกใจมากพยายามที่จะหาทางออก แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งหลง แก้วรู้สึกเป็นกังวลมากกลัวจะออกไม่ได้ และเธอก็ยังเป็นห่วงแม่ของเธออีกด้วย แก้วจึงนั่งร้องไห้อยู่บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ลำธาร ขณะที่แก้วกำลังร้องไห้ก็มีเสียงพูดขึ้นว่า หนูน้อยเธอร้องไห้ทำไมจ๊ะ แก้วตกใจพร้อมกับหันไปมองรอบ ๆ แต่ก็ไม่เห็นมีใครสักคน จนเสียงนั้นพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า ฉันอยู่นี่ อยู่ในลำธารนี้ แก้วจึงหันไปมองก็ได้เห็นปลาทองตัวใหญ่กำลังมองเธออยู่ แก้วประหลาดใจมากพร้อมกับถามปลาทองตัวนั้นว่า เธอพูดได้ด้วยหรือ ปลาทองตัวนั้นตอบว่า แน่นอน แถวนี้สัตว์ตัวไหน ๆ ก็พูดได้ทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่เฉพาะฉันหรอก เธอไม่รู้หรอก ว่าป่าบริเวณนี้เป็นป่าวิเศษ สัตว์ทุกตัวที่อยู่ที่นี่สามารถที่จะพูดได้ทุกตัว แล้วเธอล่ะทำไมถึงเข้ามาบริเวณป่านี้ได้ ซึ่งปกติจะไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถล่วงล้ำเข้ามาได้ แล้วตอบว่า ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันกำลังออกตามหาแม่ ซึ่งไปขายผักตั้งแต่เช้ายังไม่กลับเลย ฉันรู้สึกเป็นห่วง เลยออกตามหาแล้วก็หลงมาที่แห่งนี้ ปลาทองตอบว่า ฉันรู้แล้วละว่าทำไมเธอจึงเข้ามาบริเวณป่านี้ได้ เพราะความดีและความกตัญญูของเธอนั่นเองที่ทำให้เธอได้มีโอกาสเข้ามาที่แห่งนี้ เธอไม่ต้องกลัวหรอกตอนนี้แม่ของเธอกำลังเดินทางกลับบ้านมาแล้ว เดี๋ยวก็คงจะถึงบ้าน เธอก็ควรที่จะกลับบ้านได้แล้วเดี๋ยวแม่เธอกลับไปถึงไม่เจอเธอก็คงจะเป็นห่วง แก้วรีบถามว่า ปลายทอง แล้วฉันจะออกไปได้อย่างไร ฉันไม่ไปไม่ถูก ปลายทองตอบว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะให้นกฮูกนำทางเธอไป แต่เดี๋ยวก่อนเธอจะไปฉันมีของจะให้หนึ่งอย่างตอบแทนความดีของเธอ เธอเดินไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นซิ แล้วเธอก็จะเห็นต้นกล้าต้นเล็กมันเป็นต้นไม้วิเศษ ฉันให้เธอนำไปปลูก เมื่อเวลามันออกลูกออกผล ผลของมันจะมีขนาดใหญ่ กินเข้าไปแล้วจะมี สุขภาพดี แต่มันจะมีผลใหญ่เพียงผลเดียวเท่านั้น ส่วนผลอื่น ๆ มันจะมีขนาดปกติ เธอสามารถที่จะเก็บไปขายได้ แก้วขอบคุณปลาทอง แล้วเดินตามนกฮูกซึ่งบินนำทางไป ปลาทองร้องบอกแก้วว่า ขอให้เธอเป็นคนดี มีความกตัญญูตลอดไปนะ แก้วหันมาพร้อมกับตะโกนบอกปลาทองว่า ฉันจะเป็นคนดีตลอดไปจ๊ะปลาทอง แล้วแก้วก็เดินทางต่อไป
เมื่อแก้วสามารถออกมาจากป่าวิเศษได้แล้ว ก็รีบกลับบ้านไปหาแม่ และเธอก็ได้เจอกับแม่ของเธออย่างที่ปลาทองบอก ตอนแรกแก้วคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเธอได้ฝันไป แต่ตอนนี้แก้วเชื่อแล้วว่ามันไม่ได้เป็นความฝัน แต่มันเป็นความจริงที่แก้วจะไม่มีวันลืมเหตุการณ์นี้เลย และเธอก็บอกกับตัวเองว่าเธอจะปฏิบัติตามคำบอกของปลาทองตลอดไป
สุพรรษา ทองนวล
ม.๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
ทอมมี่เดินผ่านร้านขายช็อกโกแลตในตลาดขณะเดินซื้อของให้แม่ เขานึกถึงสมัยเมื่อเขาอายุ ๓ ขวบ ปู่ซื้อช็อกโกแลตนั้นให้เขากิน แต่ตอนนี้คงจะไม่มีโอกาสที่จะซื้อกินอีกแล้ว เพาะเขาไม่มีเงินพอที่จะซื้อมันได้ และปู่ก็คงจะไม่สามารถซื้อให้เขากินอีกได้เช่นกัน เมื่อซื้อของเสร็จขณะเดินกลับบ้านทอมมี่ต้องขยี้ตาหลายครั้ง เพราะเขาเห็นปู่ยืนโบกมือให้อยู่ข้างหน้า แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อปู้ของเขาตายไปเมื่อปีที่แล้ว เขาหลับตาครู่หนึ่งแล้วลืมตาขึ้น เขาพบกับความว่างเปล่า แล้วเขาก็รีบวิ่งไปที่บ้านทันที
หลังอาหารเย็นทอมมี่นั่งคิดแต่เรื่องช็อกโกแลตจนหลับ เขาเห็นปู่ยืนหาอะไรอยู่แถวป้ายรถประจำทางในตลาด เขาจึงเข้าไปถามปู่และถามว่าหาอะไรอยู่ ปู่บอกว่าหากระเป๋าเงินของคุณนายแซนดี้ ทอมมี่จึงอาสาที่จะช่วยหา ไม่นานทอมมี่ก็พบกระเป๋าใบนั้น และส่งให้ปู่ ปู่ก็ส่งให้คุณนายแซนดี้ คุณนายแซนดี้จึงหยิบเงินจำนวนหนึ่งส่งให้ปู่ และเอ่ยปากขอบคุณ ปู่ของเขาจึงส่งเงินให้แก่ทอมมี่ เขาจึงขอบคุณปู่และวิ่งไปที่ร้านของช็อกโกแลตในตลาดทันที แต่โชคร้ายซะแล้วสำหรับความตั้งใจและความใฝ่ฝันของทอมมี่ ร้านขายช็อกโกแลตทุกร้านในตลาดติดป้ายประกาศปิด โดยไม่มีกำหนดเปิด
ในตอนเช้าทอมมี่ไปซื้อของให้แม่ตามปกติ เมื่อเขาเดินมารอรถที่ป้าย เขาก็พบกับกระเป๋าเงินใบหนึ่ง เขามองไปรอบ ๆ ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น เขาจึงเปิดกระเป๋านั้นออกดู พบว่ามีเงินอยู่เป็นจำนวนมาก เขาเกิดอยากได้ เขาคิดว่าถ้าเขาเอาไปซักเล็กน้อยเจ้าของกระเป๋าคงจะไม่ว่าอะไร แต่คำสอนของแม่ผ่านเข้ามาในความคิดของเขา แม่เคยสอนว่าถ้าเราเก็บของได้เราควรส่งคืนเจ้าของ อย่ายักยอกมาเป็นของเราแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม เพราะมันไม่เป็นการซื้อสัตย์และอาจจะนำภัยมาสู่เราภายหลังได้ ทอมมี่จึงปิดกระเป๋าใบนั้นแล้วนำไปส่งให้แก่ตำรวจเพื่อหาเจ้าของ
สองวันต่อมาขณะทอมมี่นั่งเล่นกับน้องอยู่หลังบ้าน แม่ก็เข้ามาบอกว่าคุณนายแซนดี้มาพบ ทอมมี่เองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม คุณนายแซนดี้มาพบทำไม่ เพราะผ้าที่มาจ้างแม่ของเขาซัก เขาก็ไปส่งให้แต่เช้าแล้ว เมื่อออกไปพบคุณนายแซนดี้ คุณนายแซนดี้ก็ขอบใจทอมมี่ที่เก็บกระเป๋าเงินได้ และส่งคืนเจ้าของ ซึ่งก็คือคุณนายเอง คุณนายหยิบเงินมาส่งให้ทอมมี่ แต่ทอมมี่อึกอักและบอกว่าเขาทำไปไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใด ๆ คุณนายแซนดี้นำเงินใส่ในมือทอมมี่ และบอกว่าผู้ใหญ่ให้อะไรก็ต้องรีบเอาไว้ห้ามมีข้อแม้ใด ๆ และยังบอกอีกว่าสิ่งที่ทอมมี่ทำไปนั้นเป็นสิ่งที่ดีแล้ว การ ซื่อสัตย์ทั้งกับตนเองและผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดี และสมควรจะได้รับสิ่งตอบแทนบ้าง ทอมมี่ขอบคุณคุณนายแซนดี้
หลังจากที่คุณนายแซนดี้กลับไปแล้ว ทอมมี่ก็เอาเงินจำนวนหนึ่งพอซื้อช็อกโกแลตได้ซักครึ่งโหลวิ่งไปที่ตลาด ในขณะที่เขาเกินจะออกจากบ้าน เขาก็เห็นปู่ของเขายืนยิ้มและโบกมือให้เขาอยู่ ทอมมี่จึงยิ้มตอบโบกมือให้ และแสดงท่าทางกลัวเหมือนครั้งก่อน และตะโกน ขอบคุณ ครับปู่ แล้วเขาก็วิ่งไปในตลาดทันที
ณัฐวดี กลางดงทอง
ม.๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งมีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง ประกอบไปด้วย พ่อ แม่ และลูกชายชื่อแจ๊ค เป็นลูกชายคนเดียว แจ๊คเป็นเด็กที่หัวดื้อไม่มีเหตุผลมักจะเอาแต่ใจตัวเองจนพ่อและแม่ของแจ๊คเหนื่อยใจกับลูกคนนี้มาก ทุก ๆ วันในตอนเช้าแจ๊คจะไปโรงเรียนเอง เพราะพ่อแม่ไม่มีเวลา ต้องไปทำนาที่ฟาร์ม แจ๊คจึงมักจะโดดเรียนไปเที่ยเล่นในเมืองอยู่เป็นประจำ
อย่างวันนี่แจ๊คก็โดดเรียนไปเที่ยวในหมู่บ้านถัดไป ในระหว่างที่แจ๊คกำลังเดินเล่นอยู่ในนั้น ก็ได้เจอกับลุงของแจ๊ค ลุงของแจ๊คจึงจับได้ว่าแจ๊คโดดเรียน จึงพาแจ๊คกับบ้านไปฟ้องพ่อกับแม่ เมื่อพ่อกับแม่ของแจ๊ครู้เข้า ก็โกรธแจ๊คมากนำแจ๊คไปขังไว้ในกระท่อม เพื่อจะให้แจ๊คสำนึกความผิดที่ได้ทำลงไป แต่แทนที่แจ๊คจะสำนึกผิดกลับคิดหนีออกจากบ้าน เพราะคิดว่าพ่อแม่ไม่รักตนแล้ว จึงปีนรั้วออกไป แจ๊คได้เดินทางมาเป็นระยะเวลานานจึงรู้สึกเหนื่อยได้นอนพักใต้ต้นไม้ใหญ่ ขณะนั้นเองก็ได้มีลมพายุพัดเอาแจ๊คลอยไปในที่ห่างไกลมาก เมื่อแจ๊คตื่นขึ้นมาพบตัวเองนอนอยู่ในบ้านของยักษ์ ยักษ์ที่แจ๊คเจอเป็นยักษ์ที่ใจร้าย ยักษ์ตนนั้นไปจับแจ๊คไว้และบอกว่าจะนำแจ๊คไปทำอาหารเย็น แจ๊คตกใจมากเอาแต่ร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก ได้ร้องขอชีวิตกับยักษ์ ยักษ์ตนนั้นต้องการข้อแลกเปลี่ยนคือ ต้องการที่จะให้แจ๊คหาอาหารมาให้ทุกวัน แจ๊คไม่มีทางเลือกต้องยอมรับปากเจ้ายักษ์ตนนั้น ขณะนั้นแจ๊คได้มานั่งคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ว่าถ้าแจ๊คไปเรียนที่โรงเรียนเหมือนเพื่อน ๆ แจ๊คก็คงไม่มาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ แจ๊คเพิ่งจะคิดได้ เช้าวันต่อมาเข้ายักษ์ให้แจ๊คออกไปหาอาหาร ระหว่างที่แจ๊คหาอาหารให้ยักษ์อยู่นั้น แจ๊คได้เจอนกยักษ์ตัวหนึ่งได้รับบาดเจ็บ ในตอนแรกแจ๊คนำนกตัวนั้นไปให้ยักษ์กินเป็นอาหาร แต่แจ๊คก็นึกสงสารชีวิตของนก จึงได้ช่วยทำแผลให้นกตนนั้น ระหว่างนั้นแจ๊คได้พร่ำบ่นไปว่าตนไม่น่าหนีออกจากบ้านมาเลย ให้ฉันช่วยเธอเอาไหม แจ๊คได้ยินจึงหันไปมองรอบ ๆ ไม่มีใคร แจ๊คจึงประหลาดใจว่าเสียงมาจากไหน ฉันเอง นกตัวนั้นตอบ แจ๊คตกใจมากที่นกตัวนั้นพูดได้ แจ๊คจึงขอร้องให้นกตัวนั้นพาแจ๊คกลับบ้าน นกตัวนั้นเมื่อหายดีแล้วจึงได้พาแจ๊คบินจะกลับบ้าน ยักษ์ตนนั้นได้เข้ามาเจอพอดีจึงโกรธมากจะจับแจ๊คกับนกกิน นกตัวนั้นจึงรีบพาแจ๊คบินไป
ในขณะที่นกพาแจ๊คบินไปนั้นได้เกิดลมพายุพัดมาอย่างแรงทำให้นกต้องหยุดบินหาที่กำบังก่อน นกจึงบินไปในถ้ำบนยอดเขา ฉันคิดว่าลมพายุที่พัดมาแรงอย่างนี้ คงใช้เวลานาน กว่าเราจะบินต่อไปได้ เราหยุดพักในนี้ก่อนแล้วกันนะ เจ้านกพูดขึ้นมา ทำไมเธอจึงได้รับบาด แจ๊คถามนกขึ้นมาบ้าง นกจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้แจ๊คฟังขึ้นว่า เมื่อไม่นานมานี้ ในขณะที่นกกำลังบินหาอาหารไปให้ลูกน้อยที่รออยู่ในรังนั้น เจ้านกได้ปล่อยให้ลูกอยู่ตามลำพัง ขณะนั้นเองเจ้ายักษ์ตัวนั้นได้มาแอบลักขโมยเอาลูกนกไป จะนำไปกินเป็นอาหาร แต่เจ้านกกลับมาพอดี่จึงได้พยายามจะบินไปจิกยักษ์ตนนั้น แต่ถูกยักษ์ทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บอยู่หลายวันก่อนจะมาเจอแจ๊คช่วยไว้ แจ๊คจึงเสนอกับนกว่าควรจะกลับไปช่วยลูกน้อยของนกก่อน แต่นกบอกว่ายักษ์มีกำลังมาก แจ๊คจึงคิดวิธีที่จะช่วยลูกน้อยของนกตัวนั้นพร้อมกับบอกให้นกบินไปยังที่อยู่ของยักษ์
เมื่อพายุได้สงบแล้ว นกจึงพาแจ๊คบินไปยังที่อยู่ของยักษ์ เมื่อได้บินไปถึง ขณะนั้นยักษ์กำลังจะกินลูกน้อยของนก แจ๊คจึงบอกให้นกบินไปจิกเจ้ายักษ์ เมื่อเจ้ายักษ์ถูกจิกอย่างแรงจึงโมโหมาก แจ๊คจึงให้นกบินล่อเจ้ายักษ์ไป เจ้ายักษ์เห็นก็คิดว่าบินหนีจึงรีบตามไป แจ๊คได้บอกให้นกบินไปตรงหน้าผา เจ้ายักษ์ที่ตามมาไม่ทันได้ระวัง จึงได้พลัดตกลงไปในหุบเหวลึก จากนั้น่จึงได้เข้าไปช่วยลูกน้อยของนกไว้ได้สำเร็จ
จากนั้นนกจึงได้พาแจ๊คบินไปเพื่อจะกลับบ้าน แจ๊คจึงบอกว่าตนได้หนีออกจากบ้านและได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ของตนให้นกฟัง นกจึงอธิบายให้นกฟังว่า คนที่เป็นพ่อแม่ย่อมรักลูกทุกคนไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ที่พ่อแม่ของแจ๊คนำแจ๊คไปขัง ก็เพื่อที่จะให้สำนึกผิดคงไม่ได้เกลียดแจ๊คแต่เพื่ออยากให้แจ๊คเป็นคนดี เมื่อแจ๊คได้ฟังก็รู้สึกสำนึกผิดขึ้นมาตกลงที่จะกลับบ้าน นกจึงพาแจ๊คกลับไปถึงบ้าน เมื่อพ่อแม่ของแจ๊คเจอแจ๊คต่าง ๆ ก็ดีใจกันเป็นอย่างมาก ได้ขอบคุณนกที่พาแจ๊คมาส่ง จากนั้นเมื่อนกได้เดินทางจากไป และแจ๊คพร้อมทั้งพ่อแม่เข้าใจกันดีแล้ว ทุกคนก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดมา
ปิยาภรณ์ จันทร์โพธิ์
ม.๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
มารีนเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง แต่มีนิสัยกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เธอชอบออกไปเที่ยวเล่นเพียงคนเดียวทุกวัน วันหนึ่งเธอเดินเล่นเข้าไปในป่า เธอเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ด้วยความเพลิดเพลิน จนลืมนึกไปว่าเธอเดินลึกเข้ามามากแค่ไหนแล้ว เมื่อเธอรู้สึกว่าเธอเดินเข้ามาลึกมากแล้ว เธอจึงเริ่มมองหาทางออกก็ไม่พบทางออก แต่มันยิ่งทำให้เธอเดินลึกเข้าไปมากทุกที ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มลงเรื่อย ๆ และเธอก็รู้สึกหิวมาก เธอเหนื่อยอ่อนเพลีย และหยุดพักลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในป่าแห่งนั้นนั่นเอง แล้วเธอก็เผลอหลับไป
ในป่าแห่งนั้นเป็นป่าที่แปลกมาก ซึ่งสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้สามารถพูดได้ทุกตัว และในป่าก็มีสัตว์แทบทุกชนิดอยู่รวมกัน สัตว์เหล่านี้อยู่ด้วยกันอย่างสามัคคี สัตว์ทุกตัวมีความโอบอ้อมอารีซึ่งกันและกัน จะไม่มีการทำร้ายกันระหว่างสัตว์ที่ใหญ่กับสัตว์ที่ตัวเล็ก และสัตว์ทุกตัวก็ยังกินผักผลไม้เป็นอาหารด้วย ซึ่งจะไม่มีการกินเนื้อสัตว์ด้วยกันเอง แม้กระทั่งแต่สิงห์โตที่กินเนื้อสัตว์เป็นอาหารก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ แต่กินผลไม้แทน จึงทำให้สัตว์ทุกตัวที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้มีความสุข และสัตว์เหล่านี้พูดได้ก็เพราะว่าช้างได้ลงไปดื่มน้ำที่บ่อน้ำกลางป่า หลังจากดื่มน้ำเสร็จแล้วก็สามารถพูดเป็นภาษามนุษย์ได้ ทำให้เลื่องลือกันไปทั่วป่าว่าช้างลงไปกินน้ำในบ่อน้ำกลางป่าแล้วสามารถพูดได้ สัตว์ทุกตัวในป่าเมื่อได้ยินจึงแห่กันไปดื่มน้ำในบ่อนี้ หลังจากนั้นสัตว์ทุกตัวในป่าก็สามารถสื่อสารด้วยภาษามนุษย์ได้ด้วย
ลูกกระต่ายกับลูกกระรอกตัวน้อยสองตัวได้วิ่งเล่นกันอยู่ในป่า เมื่อลูกกระรอกวิ่งมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่มารีนนั่งหลับอยู่ลูกกระรอกตกใจที่เห็นมารีนจึงหยุดชะงัก ลูกกระต่ายเห็นลูกกระรอกหยุดจึงถามว่า หยุดทำไม ลูกกระรอกจึงบอกว่า ฉันเห็นเด็กผู้หญิงนั่งหลับอยู่ที่ใต้ต้นไม้ แล้วลูกกระรอกกับลูกกระต่ายก็วิ่งไปที่ต้นไม้ ลูกกระต่ายใจกล้ามากว่าลูกกระรอกจึงเข้าไปใกล้มารีน แต่ลูกกระรอกยืนอยู่ห่าง ๆ แล้วพูดว่า อย่าเข้าไปเลยเดี๋ยวเขาก็จับเราหรอก ไม่หรอกน่า ลูกกระต่ายบอก แล้วลูกกระต่ายก็เรียกมารีนที่นั่งหลับอยู่ เธอ เธอ เธอตื่นซิ มารีนก็ยังไม่รู้สึกตัว ลูกกระรอกเห็นว่าไม่น่าจะมีอันตราย จึงเดินเข้าไปใกล้แล้วพูดว่า สงสัยเธอหลงทางมาแน่เลย แล้วก็เดินจนเหนื่อยก็เผลอหลับไป ลูกกระต่ายก็ยังเรียกมารีนต่อไป มารีนเริ่มขยับตัวแล้วลืมตาขึ้น ลูกกระรอกจึงพูดขึ้นว่า ฟื้นแล้ว เธอลืมตาแล้ว เมื่อมารีนลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตรงหน้าเธอนั้นมีลูกกระต่ายกับลูกกระรอก ๒ ตัว อยู่ข้าง ๆ เธอ แต่เธอมองไปรอบ ๆ ก็ไม่มีมนุษย์คนใดอยู่ ลูกกระต่ายจึงพูดว่า เธอเป็นอย่างไงมั่ง มารีนตกใจที่สัตว์ ๒ ตัวพูดได้ มารีนจึงพูดว่า เธอพูดได้เหรอ ลูกกระรอกบอกว่า ใช่จ๊ะ พวกเราพูดได้ มารีนสงสัยว่าทำไมสัตว์ ๒ ตัวถึงพูดได้ ลูกกระต่ายจึงพูดขึ้นก่อนลูกกระรอกว่า ไม่เพียงแต่เรา ๒ ตัวเท่านั้น สัตว์ทุกตัวที่อยู่ที่นี่ก็สามารถพูดได้ มารีนพูดกับสัตว์ ๒ ตัวว่า ฉันชื่อมารีนจ๊ะ ฉันหลงทางมาหาทางออกไม่เจอ เธอช่วยฉันหน่อยซิ ลูกกระรอกจึงบอกว่า ฉันไม่รู้ทางออกหรอกว่าทางออกอยู่ที่ไหน เพราะพวกฉันไม่เคยออกไปจากป่านี้เลย ลูกกระต่ายพูดแทรกขึ้นว่า งั้นฉันจะพาเธอไปหาลิง ฉันคิดว่าลิงน่าจะรู้ สัตว์ ๒ ตัว ก็พา มารีนไปหาลิง ลิงบอกว่าไม่รู้ ลิงจึงพาไปหากวาง กวางก็ไม่รู้ กวางจึงพาไปหาช้าง ช้างก็ไม่รู้ ช้างซึ่งเป็นผู้ใหญ่สุดในกลุ่มจึงออกความคิดว่าพวกเราควรไปถามสิงห์โตนะ เพราะเขาเป็นใหญ่ในป่าแห่งนี้ มารีนตกใจที่ช้างบอกว่าให้ไปหาสิงห์โต เธอจึงพูดว่า เดี๋ยวสิงห์โตก็กินฉันน่ะซิ ช้างบอกว่า ไม่หรอก เพราะพวกเรากินผลไม้กัน ลิงเป็นสัตว์ที่ชอบออกความเห็นอยู่เสมอ จึงพูดเสริมว่า ใช่ ฉันยังกินผลไม้เลย โดยเฉพาะกล้วยฉันชอบมาก ลูกกระต่ายหมั่นไส้จึงพูดว่า ไม่ต้องบอกหรอกน่า ช้างเป็นผู้ใหญ่ที่สุดจึงพูดยุติ พอ ๆ ไปได้แล้ว แล้วช้างก็เดินนำสัตว์ทุกตัวรวมทั้งมารีน ไปหาสิงห์โตที่ลานประชุม
กวาง นก งู และสัตว์อีกหลายชนิดก็นั่งสนทนากันอยู่ที่ลานประชุม เห็นช้างเดินเข้ามาสิงห์โตจึงถามว่า อ้าว มีอะไรหรือช้าง ช้างจึงบอกว่า มีเด็กผู้หญิงหลงทางเข้ามาในป่าของเรา มารีนก็ยืนอยู่ข้าง ๆ ช้าง เธอให้พวกเราหาทางออกแต่พวกเราก็ไม่เคยออกจากป่านี้ สิงห์โตจึงบอกกับหญิงสาวว่า ฉันจะให้สัตว์ทุกตัวหาทางออกนะ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าจะพบหรือเปล่า เพราะพวกเราไม่เคยออกไปจากป่านี้เลย แล้วสัตว์ทุกตัวก็หาทางออกกัน
หลายวันผ่านไปสัตว์ทุกตัวที่ออกไปทั่วป่าก็ยังหาทางออกไม่เจอ สิงห์โตจึงให้สัตว์ ต่าง ๆ ช่วยกันสร้างบ้านหลักเล็ก ๆ ให้เราอยู่ มารีนอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว เธอก็พบว่าที่นี่มีความสุขมากกว่าที่เธอคิดไว้ เธอรู้สึกว่าสัตว์ทุกตัวที่นี่อยู่กันด้วย ความรัก ความสามัคคี เธอชอบใจมากที่สัตว์เหล่านี้สร้างบ้านให้เราอยู่และตกแต่งอย่างสวยงาม สัตว์เหล่านี้ให้ความช่วยเหลือเธอทุกอย่าง ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นมนุษย์ซึ่งต่างจากพวกเขาเหล่านั้นซึ่งเป็นสัตว์ แต่ก็เป็นสัตว์ที่มีน้ำใจไม่เหมือนกับมนุษย์บางคนที่เธอเคยพบมาก่อน เธอจึงคิดว่าเธออยากอยู่ที่นี่มากกว่าที่จะหาทางกลับบ้าน เธอจึงตัดสินใจอยู่ที่นี่ตลอดไป
ปวีณา สุริยันต์
ม.๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
ณ เมือง คารัลเดอร์ยองค์ มีแมวตัวหนึ่งชื่อ ฟรานซิส มันเป็นแมวที่ชอบคิดว่าตัวเองมีความเก่งกาจและฉลาดมากกว่าสัตว์อื่น ๆ มันมักที่จะไปโอ้อวดความเก่งกล้าและความเฉลียวฉลาดของตัวให้สัตว์อื่น ๆ ฟัง
มีอยู่วันหนึ่งมันเดินเล่นเข้าไปในป่าลึก มันได้ยินเสียงคำรามดังมาจากพุ่ม มันจึงเดินเข้าไปดู พบว่าสิงห์โตตัวหนึ่งถูกกับดักของนายพราน มันมองดูแล้วก็หัวเราะชอบใจ พร้อมกับพูดขึ้นว่า เจ้าสิงห์โตเอ้ย เจ้าเนี่ยตัวก็ออกจะใหญ่นะ แต่ทำไมเจ้าถึงตาเซ่อมาเดินเหยียบดักของมนุษย์ได้ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ เมื่อเจ้าสิงห์โตฟังแล้วก็รู้สึกโกรธ มันจึงคำรามใส่หน้าเจ้าแมวขี้อวด แต่เจ้าฟรานซิสแทนที่จะกลัว กลับพูดออกไปว่า โธ่เอ๊ย ! นึกว่าข้าจะกลัวเจ้ารึไง ถึงตัวข้าจะเล็กกว่าเจ้านะ แต่ข้าก็มีปัญญาที่ฉลาดกว่าเจ้า สิงห์โตนิ่งคิดอยู่นานมันจึงพูดว่า ข้าก็รู้ว่าเจ้าน่ะเก่งมาก แต่เจ้าคงไม่ฉลาดพอที่จะทำให้ข้าหลุดออกไปจากกับดักนี้ใช้มั้ย เจ้าฟรานซิสหัวเราะ เชอะ กับดักเล็ก ๆ อย่างนี้หรอ โธ่เอ๊ย หมู ๆ ว่าแล้วเจ้าแมวก็หลงตัวเอง ก็ติดกับดักของนายพราน โดยลืมคิดถึงภัยที่จะเข้ามาถึงตัว เจ้าสิงห์โตหลุดออกมาจากกับดักแล้วมันก็บิดขี้เกียจนิด ๆ แล้วพูดอย่างเข้าเล่ห์ว่า ขอบใจนะ แต่ตอนนี้ท้องข้ามันร้อง ข้าชักหิวแล้วสิ เจ้าแมวจึงพูดตอบโต้ว่า นี่เจ้าสิงห์โตเซ่อ เจ้าน่ะเป็นสัตว์ที่กินเนื้อสัตว์เป็นอาหารไม่ใช่หรอ ทำไมเมื่อข้าปล่อยเจ้าไปเจ้าไม่ไปหากินล่ะ สิงห์โตฟังแล้วก็หัวเราะพร้อมพูดว่า ข้าคงไม่ต้องออกหากินหรอก ตอนนี้มีเหยื่อมาให้ข้ากินถึงที่แล้วนี่ เจ้า ฟรานซิสรู้ตัวว่ากำลังตกที่นั่งลำบางก จึงพูดทวงบุญคุณ แต่เจ้าสิงห์โตไม่ฟัง มันต้อนเจ้าแมวจนมุมแล้วพูดต่อว่า เจ้าน่ะ มันมีนิสัยขี้อวด ข้าน่ะหมั่นไส้เจ้าตั้งแต่เห็นหน้าเจ้าครั้งแรกแล้ว ต่อไปเจ้าคงจะไม่มีโอกาสได้พูดอะไรอีกแล้วล่ะ เจ้าสิงโตเดินเข้าไปเตรียมตัวจะตะปบเจ้าแมว ปั่ง เสียงนายพรานยิงเจ้าสิงโต มันตายแล้ว เมื่อเจ้าแมวตั้งสติได้มันจึงวิ่งหนีไปจากที่นั่น ต่อมามันจึงคิดได้เกี่ยวกับคำพูดของตน มันจึงปรับนิสัยรวมทั้งคำพูดมัน คิดว่าต่อไปมันจะใช้สมองคิดก่อนพูด
ปัทมา มรรคจินดา
ม.๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
ณ ร้านขายตุ๊กตาแห่งหนึ่งในเมืองใหญ่ มีตุ๊กตามากมายหลายชนิด ตั้งเรียงรายอยู่ที่ร้านแห่งนั้น และตุ๊กตาทุกตัวก็ได้แต่หวังว่าอยากจะออกไปจากที่นั่น เพราะมันเบื่อที่จะต้องนั่งอยู่บนชั้นวางเฉย ๆ ตุ๊กตาทุกตัวต่างก็อยากจะออกไปผจญภัยกับโลกภายนอกบ้าง แต่ตุ๊กตาตัวไหนเล่าที่จะสวยและก็ถูกใจผู้ที่เข้ามาซื้อ คอยดูนะวันนี้จะต้องมีคนมาซื้อฉันออกไปจากที่นี่แน่ ๆ ตุ๊กตาหญิงสาวพูด ตุ๊กตาหมีใหญ่จึงถามด้วยความสงสัยว่า ทำไมเธอดูมั่นใจอย่างนั้นละ ตุ๊กตาหญิงสาวจึงตอบไปว่า ก็ฉันทั้งขาว ทั้งสวย และก็น่ารักออกอย่างนี้ และเจ้าของใหม่ของฉันจะต้องเป็นเด็ก ผู้หญิงที่น่ารัก สูงศักดิ์ มีฐานะร่ำรวย ฉันฝันไว้ว่าอย่างนั้น แต่สำหรับตุ๊กตาหมีใหญ่มันไม่ได้ต้องการเจ้าของที่ร่ำรวย สูงศักดิ์แต่อย่างใด มันต้องการเพียงแต่ความรัก และคอยดูแลเอาใจใส่มันก็พอ ซึ่งต่างจากความคิดของตุ๊กตาหญิงสายอย่างสิ้นเชิง
และแล้วเวลาที่ตุ๊กตาทุกตัวรอคอยก็มาถึง มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาน่ารัก แต่งตัวสะอาด เธอชื่อ เชอรี่ เธอมาพร้อมกับคุณแม่ของเธอเพื่อมาหาซื้อตุ๊กตาตัวใหม่ เมื่อตุ๊กตาหญิงสาวเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า นั่นไงเจ้าของใหม่ของฉันเขาต้องซื้อฉันอย่างแน่นอน ฉันก็จะไปกับเข้าให้ได้ เมื่อพูดจบตุ๊กตาหญิงสาวก็พยายามผลักดันตัวเองให้ตกลงมาจากชั้นวาง ระวัง ! ตุ๊กตาหมีใหญ่กล่าวเตือน ตุบ ตุ๊กตาหญิงสาวตกลงมาถึงพื้นกระเบื้องที่แสนเย็นของร้านแห่งนั้น ส่วนเชอรี่เดินเลือกตุ๊กตาจนทั่วร้าน ก็มาพบตุ๊กตาหญิงสาวนอนคว่ำหน้าอยู่ที่พื้น เธอจึงหยิบมันขึ้นมาและจ้องหน้าตุ๊กตาหญิงสาวตัวนั้น และพูดขึ้นว่า แม่ขาหนูชอบตัวนี้ค่ะ แม่ซื้อให้หนูนะคะ และแล้วสิ่งที่ตุ๊กตาหญิงสาวฝันมาตลอดก็เป็นความจริง เธอได้ไปอยู่กับเชอรี่ที่คฤหาสน์หลังใหญ่ ได้นอนเตียงที่แสนจะนุ่มกับเชอรี่ เชอรี่รักตุ๊กตาตัวใหม่ของเธอมาก เธอตั้งชื่อให้ว่า จูดี้ ตุ๊กตาหญิงสาวชอบชื่อนี้มาก ทุกวันเชอรี่จะพาจูดี้ไปที่โรงเรียนด้วย ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่จูดี้ชอบและมีความสุขมาก เชอรี่ให้การดูแลเอาใจใส่จูดี้เป็นอย่างดี เธอจะเปลี่ยนชุดให้จูดี้ทุกวัน จูดี้มีชุดสวย ๆ ใส่มากมาย จูดี้อยู่ที่คฤหาสน์กับเชอรี่อย่างมีความสุข และสิ่งที่จูดี้ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เย็นวันนั้นเชอรี่นำตุ๊กตาตัวใหม่เข้ามาในบ้าน มันทั้งสาวและก็สวยกว่าจูดี้มาก เธอนำมันมาวางไว้ข้างจูดี้แล้วก็เดินออกจากห้องไป เธอชื่ออะไร ตุ๊กตาตัวใหม่ถาม จูดี้ จูดี้ตอบด้วยน้ำเสียงที่สั้นห้วนด้วยความน้อยใจ และถามกลับไปว่า แล้วเธอล่ะชื่ออะไร ตุ๊กตาตัวใหม่หันมายิ้มเยาะเย้ยแล้วตอบว่า ซินดี้ จ๊ะ เชอรี่พึงจะตั้งให้ฉันเมื่อกี้นี้เอง แต่ทำไม เธอดูเก่าและก็ทรุดโทรงมากจัง ซินดี้พูดต่อ จูดี้ก็ได้แต่ก้มหน้าไม่ได้พูดอะไรเพราะในใจของเขาก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน เชอรี่คงจะเบื่อแล้วก็รำคาญฉันแน่ ๆ และอีกไม่นานเธอต้องทิ้งฉันอย่างแน่นอน นั่นเป็นสิ่งเดียวที่จูดี้คิดและก็กลัวมากในเวลานี้ ความคิดนั้นยังไม่ทันหายไปจากหัวสมองของจูดี้ เชอรี่ก็เดินเข้ามาในห้องแล้วอุ้มซินดี้ตุ๊กตาตัวใหม่ด้วยความ ทนุถนอม แล้วจับจูดี้โยนเข้าไปในห้องเก็บของที่แสนจะมืดและเหม็นอับ จูดี้รู้สึกกลัวและก็เหงามาก บัดนี้เชอรี่มีเพื่อนที่รู้ใจตัวใหม่แล้ว เธอลืมจูดี้และทิ้งจูดี้ไว้ในห้องเก็บของเพียงลำพัง
เช้าวันรุ่งขึ้นแม่ของเชอรี่เดินเข้ามาในห้องเก็บของ พบจูดี้นอนเกะกะอยู่ที่พื้นในสภาพที่เก่าและทรุดโทรมมาก เธอจึงจับจูดี้โยนออกไปนอนหน้าต่าง ร่างของจูดี้ร่องรอยจากชั้นบนของคฤหาสน์ตกลงมาสู่พื้นดิน หลังของจูดี้กระแทกพื้นอย่างแรง โอย ! เจ็บเหลือเกิน ทำไมเขาจึงใจร้ายกับฉันอย่างนี้ เข้าทิ้งฉันไว้ในห้องเก็บของที่แสนจะน่ากลัว แล้วยังจับฉันโยนลงมาอีก นี่นะหรือเจ้าของในความฝันของฉัน บัดนี้ฉันเป็นอิสระแล้ว ฉันไม่ต้องถูกขังอยู่ในห้องเก็บของอีกแล้ว
ทันใดนั้นก็มีเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง แต่งตัวมอมแมม เนื้อตัวสกปรก เธอชื่อ แมรี่ เธอเดินเขามาหาจูดี้และเอามือเล็ก ๆ ของเธออุ้มจูดี้ขึ้นมาอย่างทนุถนอม เธอจ้องมองไปที่จูดี้ด้วยความดีใจและพูดขึ้นว่า นี่ไง ตุ๊กตาตัวใหม่ของฉัน เธอน่ารักมาก ถึงเธอจะดูเก่า แขนหลุด คอขาด แต่แม่ของฉันเป็นช่างเย็บผ้า แม่คงจะช่วยเธอได้ ฉันจะพาเธอกลับบ้าน แมรี่กอดจูดี้ไว้แน่นตลอดทางเดินกลับบ้าน มันเป็นความรักที่จูดี้ไม่เคยได้จากใคร จูดี้รู้สึกอบอุ่นมากเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของ แมรี่ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่กระมอมกระแมมคนหนึ่ง ไม่ได้ร่ำรวยสูงศักดิ์อย่างที่จูดี้ฝันไว้ แต่ความรักที่แมรี่มอบให้จูดี้ในเวลานี้ มันทำให้จูดี้รู้สึกอบอุ่นและลืมเรื่องร้าย ๆ ทั้งหมด แมรี่พาจูดี้ไปที่บ้านของเธอ ซึ่งเป็นเพียงบ้านไม้เก่า ๆ แมรี่ซ่อมแซมและนำจูดี้ไปซัก จูดี้ดูสะอาดขึ้นกว่าเดิมมาก แมรี่เอาใจใส่ดูแลจูดี้เป็นอย่างดี และเล่นกับจูดี้ทุกวัน แม่ของแมรี่ตัดชุดใหม่ให้จูดี้หนึ่งตัว ถึงมันจะไม่สวนหรู แต่จูดี้ก็พอใจและชอบชุดใหม่นี้มาก
บัดนี้จูดี้มีบ้านใหม่ มีเจ้าของใหม่ ซึ่งต่างจากที่เขาฝันไว้โดยสิ้นเชิง แต่มันทำให้เขารู้สึกว่า ความรัก ความดูแลเอาใจใส่เท่านั้น ที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับตุ๊กตาอย่างพวกเรา
วรินทา พัวโสพิศ
ม.๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
ยู เป็นเด็กหญิงตัวน้อย อาศัยอยู่กับแม่ ๒ คน ในบ้านหลังเล็ก ๆ ยู กำพร้าพ่อเมื่อตอนที่ยูยังเด็กมาก ยูมีนิสัยร่าเริง ซุกซน แต่ยูก็รักดอกไม้มาก เพราะยูมีสวนดอกไม้ที่พ่อเหลือให้ยูไว้คอย ดูแลทุก ๆ เย็น ยูจะคอยหิ้วถังน้ำใบเล็กไปรดน้ำดอกไม้
วันหนึ่ง ขณะที่ยูเล่นซุกซนอยู่ในสวนกำลังเล่นไล่จับผีเสื้อ ก็ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของคน ๒ คนคุยกัน ด้วยความที่ยูเป็นเด็กซุกซน จึงเดินตามเสียงไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอเดินมาจนพบกับต้นเสียง เสียงนี้อยู่บริเวณดอกกุหลาบสีแดง เธอแปลกใจเมื่อมีแสงสีทองส่องระยิบระยับภายในกลีบดอก เธอจึงค่อย ๆ แหวกกลีบดอกออกช้า ๆ เด็กน้อยก็ต้องตกใจ เมื่อเธอเห็นปีกบาง ๆ ของแมลงปอที่ส่องแสงสว่างได้ เพราะแมลงปอที่ยูเห็นนั้นเป็นนางฟ้าองค์น้อย ว้าย ! ! เสียงของนางฟ้ากล่าวอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อมีมนุษย์ตัวน้อยมาพบเธอเข้า ยูหายจากความตกใจ แต่กลับมีความรู้สึกสงสัยเข้ามาแทนที่ เธอไม่เคยพบแมลงปอพูดได้และส่องแสงได้ แมลงปอ เธอมองแมลงปอด้วยความฉงน ฉันไม่ใช้แมลงปอ นางฟ้าตัวเล็กองค์นั้นพูดขึ้น ทำให้ยูซึ่งสงสัย แล้วคุณเป็นใครคะ พวกเราเป็นนางฟ้าประจำดอกไม้จ๊ะ เธอชื่อยูใช่ไหมค่ะ ฉันเห็นเธอบ่อย ๆ จากที่นี่ เธอคอยดูแลพวกเรา ยู ยิ้มแล้วพยักหน้า ใช่ค่ะ ยูชอบดอกไม้ ยูรักที่นี่ ที่นี่มีเพื่อนให้ยูเล่นด้วยเยอะแยะ แล้วตอนนี้ยูก็จะได้เพื่อนเพิ่มขึ้นอีกดีไหมจ๊ะ ยูยิ้มด้วยความดีใจเมื่อมีเพื่อน เพิ่มขึ้น
ทุก ๆ วัน ยูจะมาที่สวนดอกไม้นี้ คอยมาเล่นกับนางฟ้าและผีเสื้อ
วันหนึ่งขณะที่แม่จะส่งยูเข้านอน ยู หมู่นี้ลุกไปไหนจ๊ะ กลับมาเย็น ๆ ทุกวันเลย ยู อยู่ที่สวนดอกไม้ของพ่อจ๊ะแม่ ยูเล่นกับคุณนางฟ้าและคุณผีเสื้อ ด้วยนะจ๊ะแม่ เด็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา นางฟ้า ! ? อย่าเหลวไหลนะลูก จะมีนางฟ้าได้ยังไงกันจ๊ะ เข้านอนเถอะนะพรุ่งนี้แม่จะพาเข้าเมือง ยูสงสัยในสิ่งที่แม่พูด ทำไมนางฟ้าถึงเป็นเรื่องเหลวไหล ทำไมจึงไม่มี ยูใช้มือเล็ก ๆ ทั้งสองของเธอครำมือของแม้ไว้ แม่จ๋า ยูพูดจริง ๆ นะจ๊ะแม่ มีนางฟ้างอยู่จริง ๆ จ๊ะแม่เชื่อแล้ว นอนซะนะจ๊ะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้า ๆ แม่ไม่ได้เชื่อหรือแม้แต่จะใส่ใจในสิ่งที่เด็กน้อยพูดเลย และก็ไม่ได้คิดว่ามันจะมีจริง
จนเช้าวันรุ่งขึ้น แม่และยูพากันเข้ามาที่ตัวเมือง เพื่อซื้อของใช้ที่จำเป็น ยูยังคงซุกซนตามประสาเด็ก วิ่งเล่นไปเรื่อย ๆ ขณะที่วิ่งอยู่นั้น เท้าของเธอก็เกือบจะเหยียบดอกไม้เข้าซะแล้ว จึงทำให้ยูเสียหลักเซถลาไปชนแม่ข้างหลัง อุ้ย ! ยูลูกเป็นอะไรจ๊ะ ดอกไม้จ๊ะแม่ ยูมองดอกไม้ด้วยความสงสัย ดอกอะไรจ๊ะแม่ ทิวลิปไงลูก ยูมองดอกทิวลิปด้วยความประหลาด เธอไม่เคยเห็นดอกไม้ชนิดนี้เลยตั้งแต่เกิดมา ยูจึงก้มลงหยิบดอกทิวลิปขึ้นมา สภาพของดอกไม้บ่งบอกว่ามันขาดน้ำมาเป็นเวลานาน ยูเห็นว่าดอกทิวลิปนี้เหี่ยวเฉาเป็นอย่างมาก ทำไมดอกทิวลิปถึงมาอยู่ตรงนี้ละจ๊ะแม่ ไม่เห็นมีใครสนใจมันเลย ยูเอาไปเลี้ยงในสวนของพ่อได้ไหมจ๊ะ ยูขอร้องแม่ด้วยเสียงออดอ้อนของเด็ก แม่จึงลูบศีรษะของเด็กน้อย ได้ซิจ๊ะ แต่ยูต้องสัญญาว่าจะดูแลเป็นอย่างดีนะ จ๊ะแม่ ยูยิ้มด้วยความดีใจ แล้วกระโดดไปรอบ ๆ แม่ ดอกทิวลิปจ๊ะ ยูจะดูแลคุณอย่างดีเลย
หลังจากกลับมาถึงบ้าน ยูก็นำดอกทิวลิปไปปลูกในทุ่งและรดน้ำให้ โตเร็ว ๆ นะจ๊ะ ขอบใจมากนะจ๊ะเด็กน้อย ยูตกใจกับเสียงที่เธอได้ยิน ใครนะคะ ฉันเองจ๊ะอยู่ที่ดอกทิวลิป นี่ไง กลีบของดอกทิวลิปค่อย ๆ แย้มออกทีละน้อย ก็ปรากฏเป็นนางฟ้า กับประกายแสงสว่างไสว อ้า คุณนางฟ้านั่นเอง นี่ถ้าเธอไม่ช่วยฉันไว้ ฉันคงจะต้องตายไปแล้วละจ๊ะ ขอบใจมากนะ และนางฟ้าก็จะใจดีกับเด็กดีเสมอ ดังนั้นเธออยากได้อะไร จงบอกฉัน ฉันจะให้สิ่งนั้นแก่เธอ ยูมองนางฟ้าด้วยสายตาของความสดใส ยู ไม่อยากได้อะไรหรอกคะ แค่ยูมีดอกไม้ในส่วนนี้อยู่กับยูก็พอแล้ว เด็กน้อย เธอเป็นเด็กดีจริง ๆ ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน แต่เพียงเท่านี้ก็เป็นความปรารถนาแล้ว เธอจะได้เห็นดอกไม้บานสะพรั่งในสวนของเธอ นางฟ้าพูดพร้อมกับร่ายมนต์สีทองส่องระยับไปทั่วสวนดอกไม้ ดอกไม้ในสวนบานสะพรั่งรับแสงอาทิตย์พร้อมกัน เหล่านางฟ้าในดอกไม้ เพื่อน ๆ ของยูต่างมาแสดงความยินดีด้วย
ขณะเดียวกันแม่ก็ขึ้นมาที่สวนแห่งนี้ ก็ต้องตกใจเมื่อพบยูกับนางฟ้าตัวน้อย ยูจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟังด้วยความดีใจ แม่ดีใจและชื่นชมในตัวของลูกสาว ทั้งสองพากันกลับบ้านและอยู่กันอย่างมีความสุขกับเหล่านางฟ้า และสวนแห่งความสุขนี้
นฤมล สักขะฤทธิ์
ม.๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
กาลครั้งหนึ่งนานมากแล้ว ณ ลำธารแห่งหนึ่ง มีเสียงดัง ก๊าบ ๆ เสียงนี้ก็คือเสียงของเหล่าเป็ด ที่บางตัวก็ว่ายน้ำไปมาก บ้างแต่งขนอยู่ริมตลิ่ง ดำผุด ดำโผล่ ว่ายก็มี กระพือปีกตีน้ำเล่นก็มี ทั้งที่เป็ดหลายตัวกำลังสนุกอยู่กับการเล่นน้ำ แต่มีเป็ดอยู่ตัวหนึ่งยืนเหงาอยู่ตัวเดียว เพราะมันเบื่อที่จะว่ายน้ำ มันอยากเดินไปเที่ยวในที่ต่าง ๆ มากกว่าวัน ๆ ที่จะอยู่แถว ๆ ลำธาร เล่นน้ำซึ่งมันรู้สึกเบื่อ และมันก็อยากเดินไปที่ไกล ๆ เดินเที่ยวโน่นเที่ยวนี่
เช้าวันนี้คือวันที่มันตัดสินใจอย่างแน่วแน่ มันจึงตะโกนบอกเหล่าเพื่อนเป็ดของมัน เพื่อน ๆ ทั้งหลาย ฉันจะไปเที่ยวหมู่บ้านนะ ซึ่งภายในใจก็กล้า ๆ กลัว ๆ และหวังใจว่าคงจะมีเป็ดตัวใดคัดค้าน แต่เปล่าเลย บรรดาเป็ดทั้งหลายก็มิสนใจใยดีอะไร มันตะโกนบอกเพื่อน ๆ หลาย ๆ ครั้ง แต่ก็ไม่สนใจ มันจึงงอนแล้วเดินย้ายก้นจากไป เมื่อมันจากไปเพื่อน ๆ เป็ดก็หันมามองเจ้าเป็ดขี้งอนแล้วต่างก็ไม่สนใจเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเจ้าเป็ดขี้งอนตัวนี้มักจะเบื่ออะไร ง่าย ๆ จนทำให้เพื่อนเป็ดคิดว่า เมื่อฤทธิ์ของความงอนหาย และเบื่อกับการเดินทางเดี๋ยวมันก็กลับมา
เจ้าเป็ดเดินย้ายก้นไปเรื่อย ๆ ด้วยฤทธิ์ของความงอน ก็ไปพบกับเจ้าเต่า ด้วยความเกเรของมันจึงบินไปเกาะบนหลังเต่า ลงไปนะเจ้าเป็ด เต่าพูด
ไม่ลงจนกว่าเธอจะพาฉันไปที่หมู่บ้าน เจ้าเป็ดพูด เจ้าเต่ารู้ว่าจะพูดอย่างไรเจ้าเป็ดก็ไม่ลงจากหลังของมัน มันจึงหดหัวเข้าไปในกระดอง เจ้าเป็ดโมโหที่เจ้าเต่าทำเช่นนี้ มันจึงลงจากกระดองเต่าและเดินไปด้วยความโมโห สายมากแล้วเจ้าเป็ดก็เดินมาเรื่อย ๆ จนถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง มันก็ได้พบกับลูกเจี๊ยบตัวน้อย มันจึงนึกสนุกขึ้นมา มันจึงกางปีกถลาแล้ววิ่งไล่ต้อนลูกเจี๊ยบ ลูกเจี๊ยบตกใจมากร้องเสียงดังลั่น ลูกเจี๊ยบวิ่งอ้อมไปทางมุมบ้าน เจ้าเป็ดวิ่งไล่ตามติด ๆ แต่ทว่าพ่อไก่ตัวหนึ่งยืนประชันหน้าเจ้าเป็ดแล้วพ่อไก่ก็ไล่จิกเจ้าเป็ด ทำให้เจ้าเป็ดวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต แต่เพราะโชคช่วยข้างหน้ามีสระน้ำ
ดังนั้นมันจึงรีบวิ่งลงไปในน้ำ ทำให้พ่อไก่ทำอะไรไม่ได้ แล้วพ่อไก่ก็เดินกลับไป เจ้าเป็ดโดยพ่อไก่จิกจนระบมไปทั้งตัวแล้วมันจึงเดินต่อไป ภายในใจของมันก็คิดว่าเป็นโชคดีของมันที่มันว่ายน้ำได้
มันเดินทางต่อไปเรื่อย ๆ อากาศก็ร้อนอบอ้าวมาก แต่มันก็พยายามเดินให้ไปถึงหมู่บ้านให้จงได้ มันจึงเดินไปโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ เผชิญเผลอไปเหยียบหางของสุนัขหน้าหย่นตัวใหญ่ เจ้าเป็ดก็ยังไม่รู้มันเดินต่อไปอย่างไม่ใส่ใจว่าเจ้าสุนัขหน้าหย่นตัวใหญ่โกรธ หยุดก่อนเจ้าเป็ด เจ้าสุนัขหน้าหย่นตะโกนเรียกเจ้าเป็ด แล้วเจ้าเป็ดหันหน้ากลับมาจนหน้าของมันปะทะกับเจ้าสุนัขหน้าหย่น แล้วมันก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสุนัขหน้าหย่นตัวใหญ่ทำหน้าโกรธเคือง แล้วมันก็รีบวิ่งอย่างสุดชีวิต แต่โชคดีเป็นของมันอีกครั้ง มันจึงเดินลงไปในลำธาร และว่ายน้ำหนีไปทำให้มันคิดได้ว่ามันควรภาคภูมิใจที่มันว่ายน้ำเป็น ไม่เหมือนกับพ่อไก่กับเจ้าสุนัขหน้าหย่นที่ว่ายไม่เป็นเหมือนมันและแล้วมันก็ว่ายน้ำไปเรื่อย ๆ จนพบกับฝูงเป็ดเพื่อน ๆ ของมัน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มันก็เอาแต่ว่ายน้ำอย่างสนุกสนานทุกวัน และไม่เหงาเหมือนแต่ก่อน และไม่คิดที่จะไปหมู่บ้านอีกแล้ว
สาตราภรณ์ ดิษรัก
ม.๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
ณ วังบาดาลได้มีปลาทองที่งดงามตัวหนึ่ง ปลาทองตัวนี้มีเกล็ดสีทองเหมือนดังทองแท่งที่เงางามมาก วันหนึ่งปลาตัวนี้ต้องการจะออกไปสู่อากาศบนผิวน้ำ แต่ถูกพ่อแม่ของปลาทองห้ามไว้ เพราะพ่อแม่ปลาทองเกรงว่าจะเกิดอันตรายแก่ลูกปลา แต่ลูกมีนิสัยที่ดื้อรั้นจึงแอบหนีไปว่ายน้ำเล่นบนพื้นผิวน้ำ พอลูกปลาทองได้ว่ายขึ้นไปสูดเอาออกซิเจนเหนือน้ำ มันก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก จึงทำให้มันอยากจะไปดูโลกบนบกบ้าง มันจึงพยายามดีดตัวมันให้พ้นเหนือน้ำ และในขณะที่ลูกปลาทองกำลังดีดตัว ทำให้ชาวประมงเห็นจึงเกิดอันตรายแก่ตัวมัน
ทันใดนั้นลูกปลาทองก็ถูกชาวประมงช้อนตัวขึ้นไป ลูกปลาทองรู้สึกเสียใจมากที่ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ของตน มันรู้สึกร้อนวูบวาบที่ผิวเมื่อลมพัดกระทบผิวของมัน กับแสงแดดที่ร้อนแรงบนพื้นโลก ชาวประมงนำตัวของลูกปลาทองไปใส่ไว้ในอ่างเล็ก ๆ มัดอึดอัดมากที่ไม่สามารถออกไปได้ และทำให้มันสลบไปขณะหนึ่ง
เมื่อมันตื่นขึ้นมาอยู่ในตู้กระจกเล็ก ๆ มีหินสีสวย มีออกซิเจน แต่ว่าไม่มีพ่อแม่ของมันอยู่ด้วย มันอ้างว้าง และก็คิดว่าคงจะไม่มีวันได้กลับไปหาพ่อแม่ของมันได้อีก ต่อมาเมื่อเจ้าของตู้ปลาจะเปลี่ยนน้ำใหม่ เจ้าปลาทองน้อยก็ถือโอกาสตัดสินใจดีดตัวลงไปในท่อระบายน้ำ มันพยายามว่ายลงไปจนเจ้าของตู้ปลายไม่สามารถนำตัวมันมาได้ ในที่สุดกรแสของน้ำก็พัดพาตัวมันไปสู่คลองเล็ก ๆ ลูกปลาทองพยายามว่ายน้ำเพื่อหวังจะกลับของมัน แต่แรงของมันก็ไม่สามารถว่ายทวนแรงกระแสของน้ำได้ มันจึงต้องว่ายไปตามกระแสของน้ำ ซึ่งมันก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ในที่แห่งใดอีกต่อไป
สิริมา มีคุณสุต
ม.๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
มีจอมโจรคนหนึ่งชื่อ เบิ้ม อายุประมาณ ๒๐ ปี มีนิสัยชอบ จี้ปล้น และที่สำคัญเบิ้มไม่รู้หนังสือ เบิ้มได้เดินเล่นอยู่ในหมู่บ้านรำรวยนิเวศน์ บังเอิญไปเห็นบ้านหลังหนึ่ง แล้วมาสังเกตบ้านหลังนี้ทุกวัน เจ้าของบ้านเป็นผู้ใหญ่แก่อายุประมาณ ๕๐ ปี เธอเป็นครูสอนอยู่โรงเรียน มีหลักประจำใจว่า ไม่เรียบไม่เป็นไรขอให้ใจตรงกัน เธอชื่อป้าน้อยหน่า
หัวค่ำของวันหนึ่ง เบิ้มมองเห็นโอกาสเหมาะจึงซุ่มรอเหยื่อ รอที่จังหวะที่เจ้าของบ้านกลับจากข้างนอก ป้าน้อยหน่าลงจากรถและกำลังไขกุญแจเข้าบ้าน เบิ้มย่องเงียบเข้าประชิดตัว เอามีดจี้สีข้างพร้อมกระซิบเผ่าทำเสียงหล่อบังคับให้ป้าน้อยหน่าทำตัวเป็นปกติเดินเข้าไปในบ้าน ห้ามส่งเสียงโวยวายเด็ดขาด ถ้าไม่อยากตาย
พอเข้าไปในบ้านงับประตูเสร็จสรรพ เบิ้มก็สั่งการทันที มีทรัพย์สินอะไรเอามาให้หมด โจรหนุ่มก็กวาดตาหาทรัพย์อันมีค่า แต่อกแฟบ ๆ ของมันก็ชักจะห่อเหี่ยวมากขึ้น เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ตู้หนังสือ กองหนังสือ ห่อหนังสือ ลังหนังสือ หนังสือ หนังสือและก็หนังสือ
ฉันจะมีอะไรให้เธอ ป้าน้อยหน่าโต้กลับเสียงสูง พอตั้งสติได้เริ่มคลายความหวาดกลัว แล้วป้าน้อยหน่าก็หมุนตัวไปนั่งบนเก้าอี้ สมบัติล้ำค่าของฉัน ก็มีแต่หนังสือหละ ราคาบางเล่มก็หลายตังดีอยู่หรอก ไม่เบื่อก็ลองเปิดอ่านดูสิ
หยุด ! จอมโจรตะคอกเสียงเซียว กูไม่ต้องการหนังสือ กูต้องการทรัพย์สิน
ก็นี่แหละ ทรัพย์สิน มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน เธอไม่เคยได้ยินหรอกรึ
ไม่เคย ไม่รู้ กูไม่เคยเรียนหนังสือ
ต้าย ตาย ตาย คุณป้าลุกพรวดพราดยืนอย่างตกอกตกใจ
นี่เธอไม่รู้หนังสือหรอกรึถึงได้ริมาเป็นโจรอย่างนี้ ตาย ตาย โธ่ถัง
ไม่ต้องมาสงสารกู เอาเงินมา จะรีบไป
ป้าไม่มีเงินหรอกลูก ป้าเป็นแค่ครูแก่ ๆ ทรัพย์สินป้าก็มีแต่รถยนต์คันนี้ ลูกหลายเขาลงขันกันผ่อนให้ป้าไว้ใช้ ชีวิตป้าอยู่ได้ทุกวันนี้ก็ไม่มีความสุขอะไร อยู่เพื่อชดใช้กรรมไปวัน ๆ บางครั้งป้าคิดว่าตัวเองไม่รู้จะอยู่ไปทำไมเหมือนกัน การเกิดมามีแต่ทุกข์ แต่การมีชีรวิตอยู่มันทุกข์ยิ่งกว่า จริงมั้ยลูก !
โจรหนุ่มไม่ตอบ แต่ยืนอึ้ง มือที่ถือมีดตกห้องข้างกาย
เอางี้มั้ยลูก ป้าจะใช้วิชาแทนทรัพย์ รับรองว่ากินไม่หมด ป้าจะสอนหนังสือให้ลูกอ่านออกเขียนได้ เอามั้ยลูก ลูกมาเรียนกับป้าทุกวันไหม ป้าจะสอนให้
โจรหนุ่มไม่ตอบ แต่ปามีดลงกับพื้น พลางเช็ดน้ำตากับแขนเสื้อ พร้อมกับแหกปากพูดเหมือนจะร้องไห้ แล้วเดินออกไปจากบ้านป้าน้อยหน่า
วันรุ่งขึ้น เบิ้มได้มาหาป้าน้อยหน่า ให้ป้าน้อยหน่าสอนหนังสือให้ ป่าน้อยหน้าถาม เบิ้มว่า
คิดยังไงถึงมาเรียนหล่ะ
อยากเป็นคนดีกับเขาบ้าง
ดีแล้วล่ะลูก
ในที่สุดเบิ้มก็กลายมาเป็นคนดี ไม่จี้ปล้น แถมยังรู้หนังสืออีกด้วย ป้าน้อยหน่าได้ฝากงานให้เบิ้มในโรงเรียนที่ป่าน้อยหน่าเป็นครูอยู่
สุกัญญา บุณรัตพันธุ์
ม.๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
กาลครั้งหนึ่ง มีข่าวลือกันไปทั่วทั้งนครว่าหีบสมบัติของพระราชาได้หายไปจากคลังสมบัติ ในหีบนั้นเป็นสิ่งล้ำค่าที่หายากที่สุดในแผ่นดิน ทำให้เจ้าหญิงโซเฟียเศร้าพระทัยจนไม่เป็นอันเสวย ไม่มีใครรู้เลยว่าข่าวนี้แพร่กระจายมาจากที่ใด แต่ทุกคนในนครต่างก็เดือดร้อนไป ตาม ๆ กัน
บรรดาเจ้าชายต่างเมืองที่ทรงชื่นชมในความงามของเจ้าหญิงโซเฟีย ก็พากันเป็นผู้อาสาจะนำหีบสมบัติมาถวายคืนให้เจ้าหญิงให้ได้ ทุก ๆ บ้านต่างพยายามค้นหาหีบสมบัติเพื่อจะได้เป็น ผู้ได้รางวัลก่อนคนอื่น เมื่อต่างคนต่างก็เร่งหากันเช่นนี้ ทำให้ชาวเมืองหลายรายพบหีบสมบัติเก่าแก่หลายหีบ และต่างฝ่ายก็คิดว่าตนเป็นผู้หาหีบสมบัติได้ ทุกคนที่หาหีบพบจึงพากันไปที่นครเพื่อถวายแด่เจ้าหญิงโซเฟีย
ไม่ทันไรข่าวที่มีคนพบหีบสมบัติมากมายก็กระจายไปอย่างรวดเร็ว พวกเจ้าชายที่หมายปองเจ้าหญิง จึงคิดหาหีบสมบัติปลอมมาถวายแด่เจ้าหญิง หีบสมบัติจึงมีมากมายเต็มหน้าเมือง เมื่อเจ้าหญิงรู่เข้าก็ทรงหัวเราะและกล่าวว่า ดูสิ...ชาวเมืองพากันหาหีบสมบัติกันสนุกไปเลย ทุกคนเชื่อว่าหีบสมบัติหายไป ของสำคัญอย่างนี้จะหายไปได้ยังไง เราเพียงแต่อยากเล่นเกมเท่านั้นเอง แต่ว่าเราจะตัดสินว่าหีบไหนเป็นหีบที่หายไปดีล่ะ และนี่ก็เป็นทุกข์ของเจ้าหญิงในเวลาต่อมา จนกระทั่งเจ้าหญิงคิดว่าควรเปิดหีบออกดู ถ้าหีบไหนถูกใจ หีบนั้นก็จะกลายเป็นหีบสมบัติที่หายไป เมื่อเปิดหีบดูเจ้าหญิงก็แปลกพระทัยมาก หีบบางใบมีสมบัติมากมายจนเจ้าหญิงคิดว่าเป็นหีบสมบัติที่หายไป แต่เจ้าหญิงรู้ดีว่าหีบสมบัติของพระองค์ มีเพียงจดหมายของเสด็จแม่ที่เขียนถึงพระองค์ด้วยความรัก จนกระทั่งเจ้าหญิงเปิดหีบของโจรสลัดคนหนึ่งชื่อ จอห์น เจ้าหญิงก็พบว่าในหีบที่เป็นของโจรสลัดนั้นมีจดหมายอยู่เต็มหีบ เมื่อเปิดจดหมายอ่าน เจ้าหญิงถึงกับตกใจจนอุทานว่า ตายแล้ว นี่มันจดหมายของเสด็จแม่นี่นา แล้วมันมาอยู่ที่นี่ได้ไง พระพี่เลี้ยงช่วยไปตามโจรสลัดชื่อ จอห์น มาเดี๋ยวนี้
ไม่มีใครรู้จักโจรสลัดที่ชื่อ จอห์น แม้แต่คนเดียว กระทั่งข่าวที่เจ้าหญิงค้นหาโจรสลัดก็แพร่กระจายไปอีก ทำให้มีคนมาแอบอ้างเป็นโจรสลัดนายจอห์นกันมากมาย ซึ่งเจ้าหญิงไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครคือโจรสลัดนายจอห์น ด้วยความที่เป็นคนอารมณ์ดี รักสนุก พระองค์เลยให้ผู้แอบอ้างทุกคนเล่นเกมคนหาย จนในที่สุดก็ได้ชายหนุ่มมีเคราเต็มหน้าคนหนึ่ง ที่แท้ นายคือโจรสลัดชื่อจอห์น พะยะค่ะ เจ้าหญิงคงสนุกมากใช่ไหมพะยะค่ะ แต่เจ้าหญิงไม่ทราบเลยว่าชาวเมืองทุกข์ร้อนเพียงใด ที่เจ้าหญิงทรงเล่นสนุกแกล้งให้คนอื่นช่วยหาของที่ไม่ได้หาย แล้วท่านรู้ได้ยังไงว่าหีบไม่ได้หาย กระหม่อมได้ฟังข่าวนี้จากเจ้าชายที่หลงไหลในตัวเจ้าหญิงมากที่สุดองค์หนึ่ง แล้วกระหม่อมตั้งใจจะขโมยหีบมาให้เขาแต่กระหม่อมได้ยินทหารยามที่เฝ้าคลังสมบัติบอกว่าไม่มีหีบสมบัติใดหายไปเลย กระหม่อมเลยเลือกหีบที่เบาที่สุดมา ทำไมถึงเลือกหีบที่เบาที่สุดล่ะ เพราะของเบาทำให้ไม่หนักแล้วก็น่าสนใจที่สุด
พระองค์ทรงปลื้มในการย้อนรอยของโจรสลัดหนุ่มมากจึงชวนโจรสลัดมาเป็นสหายจะได้ช่วยกันคิดเกมมาเล่นอีก แต่นายจอห์นก็หายไปในวันรุ่งขึ้น
ต่อมาไม่นานก็มีข่าวหีบสมบัติของเจ้าหญิงหายไปอีก ใครจะรู้ว่าหีบสมบัติหายไป คราวนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นมาอีกหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ เจ้าหญิงโซเฟียกำลังรอนายจอห์นอยู่ทุกลมหายใจ เลยล่ะ
ดญ.ณัฐยา โอฬารฤทธิ์กุล
ม.6/6 โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
แซลลี่เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งอายุ 6 ขวบ เธอมีความคิดฝันว่าอยากจะเข้าไปเมืองตุ๊กตา ซึ่งเธอคิดว่ามีจริง ในเวลาที่เธออยู่คนเดียวเธอก็จะพูดจะเล่นกับตุ๊กตาซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเด็กผู้หญิง แซลลี่ไม่เคยบอกความฝันของเธอให้ใครฟังแม้แต่แม่ของเธอ
ในคืนหนึ่งขณะที่เธอกำลังนอนหลับอยู่เธอก็รู้สึงว่ามีแสงสีรุ้งล้อมรอบตัวเธอไว้ และเธอก็รู้สึกว่าตัวเธอลอยขึ้นแล้วล่องลอยไปในอุโมงค์ยาวที่สุดเธอก็ลงมายืนอยู่ที่ดินแดนแห่งหนึ่งบริเวณนั้นเป็นสวนดอกไม้สวยงามมีต้นไม้ร่มนื่น ขอต้อนรับสู่เมืองตุ๊กตา มีเสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้น แซลลี่จึงหันไปมอง เราคือหัวหน้าเมืองตุ๊กตา เธอเม่านั้นที่จะช่วยพวกเราได้ ตุ๊กตาสิงโตพูดกับเธอ เธอแทบจะไม่เชื่อตัวเองเลยว่าเธอไดเข้ามาอยู่ในเมืองตุ๊กตาจริง ๆ แล้วเธอก็กำลังพูดกับตุ๊กตา ตอนนี้เมืองของเรากำลังกำลังจะถูกพวกหุ่นยนต์ยึดครอง เพราะเมืองหุ่นยนต์ไม่มีต้นไม้ ไม่มีดอกไม้ ดังนั้นจึงอยากที่จะยึดเมืองตุ๊กตาไว้ท่องเที่ยว แต่เราคิดว่าพวกหุ่นยนต์คงจะไม่มาเที่ยวเพียงอย่างเดียวแน่ ๆ พวกหุ่นยนต์ก็อาจจะทำลายต้นไม้ ดอกไม้ไปด้วย เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านี้ ตุ๊กตาสิงโตพูด ถ้าอย่างนั้นหนูจะไปช่วยพูดกับหัวหน้าหุ่นยนต์ให้ก่อนนะคะ ตุ๊กตาสิงโตจึงพาแซลลี่ไปที่เมืองหุ่นยนต์
ที่เมืองหุ่นยนต์นั้นเต็มไปด้วยตึก และโรงงานอุตสาหกรรมมากมายไม่มีต้นไม้เลยสักต้นเดียว แซลลี่เดินไปที่หน้าประตูเมืองพบกับทหารหุ่นยนต์จึงขอเข้าไปพบกับหัวหน้าหุ่นยนต์ ตอนแรกทหารหุ่นยนต์ไม่ยอมจนแซลลี่ต้องบอกเรื่องที่ต้องการจะพูดกับหัวหน้าหุ่นยนต์ ทหารหุ่นยนต์จึงไยอมให้เข้าพบ
ทหารหุ่นยนต์พาแซลลี่และตุ๊กตาหุ่นยนต์เข้าไปในห้องใหญ่เต็มไปด้วยถังเก็บสารพิษมากมายมีหัวหน้าหุ่นยนต์นั่งทำงานอยู่ เอ่อคือว่าหนูชื่อแซลลี่ค่ะหนูมาจากเมืองมนุษย์ หนูจะมาขอร้องให้อย่ามายึดเมืองตุ๊กตาเลยค่ะ แซลลี่พูดกับหัวหน้าหุ่นยนต์ จะให้ชั้นเปลี่ยนใจเหรอไม่มีทางหรอก หัวหน้าหุ่นยนต์ตอบ แต่ถ้าท่านต้องการให้เมืองหุ่นยนต์มีต้นไม้เยอะ ๆ เหมือนเมืองตุ๊กตาทำไมไม่ปลูกขึ้นมาละค่ะ แซลลี่ถาม ก็ชั้นมีความคิดว่าต้นไม้ไม่มีความสำคัญอะไรมากมายนะสิที่สำคัญน่ะคือเครื่องยนต์ โรงงานอุตสาหกรรมแล้วก็สารเคมีต่าง ๆ นะสิ หัวหน้าหุ่นยนต์ตอบ แล้วถ้าเกิดฝนตกขึ้นน้ำจะไม่ท่วมหรือคะเพราะเมืองนี้ไม่มีต้นไม้ แล้วพวกท่านหายใจเอาก๊าชออกซิเจนมาจากไหน แซลลี่ถาม เธอคงยังไม่รู้สินะว่า ทุก ๆ อย่างที่เราใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยทั้งนั้นเมืองนี้มีแสงรังสีกั้นไว้เพื่อป้องกันแสงแดดและน้ำฝน แล้วเวลาหายใจ พวกเราก็มีสาราสังเคราะห์ออกซิเจนติดอยู่ที่ตัวทุกคน พูดง่าย ๆ ก็คือชีวิตของพวกเราแทบไม่เกี่ยวข้องกับต้นไม้เลย ต้นไม้เป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น และเราก็ต้องการเมืองตุ๊กตาแค่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น หัวหน้าหุ่นยนต์บอก ถ้าอย่างนั้นหนูก็ขอกลับก่อนนะคะ แต่หนูอยากให้ท่านคิดดูใหม่อีกทีว่าทั้งชีวิตจะต้องมีสารพิษตลอดไปเลยหรือคะ แซลลี่กับเมืองตุ๊กตาสิงโตจึงลากลับที่เมืองตุ๊กตา
จนกระทั่งวันหนึ่งได้เกิดฝนตกครั้งใหญ่ที่เมืองหุ่นยนต์เกิดน้ำท่วมหนักหัวหน้าหุ่นยนต์จึงจำเป็นต้องไปขอความช่วยเหลือจากเมืองตุ๊กตา ตุ๊กตาสิงโตสั่งให้ขนย้ายประชากรหุ่นยนต์มาไว้ที่เมืองตุ๊กตา
เหตุหการณ์ครั้งนี้ทำให้หัวหน้าหุ่นยนต์ได้รู้ว่าต้นไม้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกชีวิต ไม่มีอะไรดีกว่าธรรมชาติถึงแม้ว่าสารสังเคราะห์จะดีสักเพียงไหน
เราต้องขอโทษพวกเธอด้วยนะที่ไม่เชื่อพวกเธอตั้งแต่แรก การที่ฝนเกิดลำแสงมาได้ก็เพราะว่า ลำแสงเสื่อมคุณภาพ ตอนแรกเรามั่นใจว่าไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เรามั่นใจในสารสังเคราะห์ที่สังเคราะห์ขึ้นมาแต่ตอนนี้ เราได้รู้ว่าไม่น่าที่จะไปฝืนธรรมชาติ ต่อไปนี้เราจะรักต้นไม้ ปลูกต้นไม้ให้มากที่สุด เพื่อที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
แล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยดี ตุ๊กตาสิงโตได้ส่งแซลลี่กับบ้านอย่างปลอดภัยและแซลลี่ก็คงจะไม่ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอเป็นอันขาด แล้วเธอก็คงไม่บอกใครสำหรับเรื่องนี้
รุ่งรัตน์ ชมบัวทอง
ชั้น ม.๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
คืนหนึ่งท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัด ภายในห้องของเด็กชายผู้หนึ่ง ชื่อว่า ลัคกี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขานั้น มันไม่ได้โชคดีเหมือนกับชื่อของเขาเลย เพราะตอนนี้คนในครอบครัวของเขาต่างพากันว่าเขาว่าเป็นตัวอับโชค ทำให้ฐานะทางบ้านแย่ลงจากแต่ก่อน และในคืนนี้เขาก็กำลังร้องให้ และกำลังจะคล้องคอของเขากับเชือกที่เขาเคยเตรียมไว้เพื่อจะปลิดชีวิตของเขาเอง
ในทันใดนั้นเอง สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เขามองเห็นแสงแวบขึ้นมาตรงหน้าต่างของเขา เมื่อแสงนั้นหายไป ก็ปรากฏร่างของหญิงสาวผมยาวในชุดขาวขึ้น หยุดก่อน ลัคกี้ เธอจะทำอย่างนั้นไม่ได้นะ หญิงคนนั้นกล่าว ทำไม แล้วเธอเป็นใคร ฉันอยู่ไม่ได้แล้ว ทุกคนเกลียดฉัน ลัคกี้กล่าวอย่างน้อยใจ หญิงสาวผู้นี้ไม่พูดอะไร แต่เธอกลับนำเข็มกลัดที่มีลักษณะเป็นรูปดาว มาติดที่หน้าอกเสื้อของลัคกี้ แล้วเธอก็จากไปอย่างรวดเร็ว เก็บสิ่งนี้ไว้ แล้วจงทำดีต่อไป ทุกอย่างจะดีเอง เสียงนี้ดังขึ้นหลังจากที่เธอหายไป
หลายวันผ่านไป ลัคกี้ก็ยังใช้ชีวิตของเขาอย่างเป็นปกติ เขายังคงช่วยพ่อแม่ของเขทำงาน อย่างเดิม โดยที่ตัวเขาเองก็นำเรื่องหญิงสาวที่ปรากฏแก่หน้าเขาเมื่อหลายคืนก่อนตลอด และเขาก็ยังติดเข็มกลัดอันนั้นอยู่ มันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ทุกคนก็คงคิดกับเขาเช่นเดิม เนี่ยเหรอทุกอย่างจะดีเอง ฉันทำดีด้วยความจริงใจจริง ๆ แล้วทำไม่ทุกคนถึงคิดกับฉันเช่นนี้ ลัคกี้เอ่ยขึ้นลอย ๆ ก่อนที่เขาทำงานต่อไปอย่างขมักเขม้น
และในวันหนึ่ง ก็มีพระราชสานส์ จากพระราชา มาว่า ให้คนที่สามารถประดิษฐ์เข็มกลัดติดเสื้อ เพื่อมอบให้แก่พระราชธิดาที่เพิ่งเกิดใหม่ได้สวยงามที่สุด ซึ่งจะมีรางวัลให้อย่างงาม เมื่อลัคกี้ได้รับทราบข่าวนี้ เขาก็เข้าไปในวัง เพื่อนำเข็มกลัดที่หญิงสาวมหัศจรรย์ให้ไว้นั้น ไปมอบให้แก่พระราชา โดยที่เขาไม่ได้หวังอะไรเลย เพียงแต่จะมอบให้เป็นของขวัญแก่พระราชธิดาเท่านั้น
โอ สวย สวยมากจริง ๆ เจ้าทำได้ถูกใจข้ามาก และข้าก็คิดว่าลูกสาวข้าจะต้องชอบเป็นแน่ เอาละรางวัลนี้เป็นของเจ้า พระราชาตรัส แล้วก็ทรงมอบของรางวัลให้แก่ลัคกี้ ทั้งหมดเขากลับมาที่บ้าน แล้วมอบรางวัลทั้งหมดให้แก่ พ่อ และแม่ ลัคกี้ พ่อกับแม่ขอโทษนะลูกที่คิดอำไรไม่ดีกับลูก ตอนนี้แม่รู้แล้วว่าพวกเรามีลูกที่ดีที่สุด แม่ของเขาพูด
และในคืนนั้นเอง เขาก็รู้สึกถึงความสุขที่เขาหามาตลอดชีวิต นี่แหละ สิ่งดี ไ ที่เธอควรจะได้รับ ลัคกี้หันมองไปตามเสียง ๆ นั้น แล้วเขาก็พบผู้หญิงคนนั้น คนที่เคยให้โอกาสแก่เขา เมื่อครั้งที่เขาคิดสั้น ขอบใจเธอมาก ถ้าฉันไม่ได้เธอฉันก็คงไม่มีสิ่งดี ๆ เหล่านี้ ลัคกี้พูดขึ้น เธอยิ้มรับ แล้วพูดว่า มันอยู่ที่ตัวเธอเองต่างหาก ถ้าเธอไม่ทำดี เธอคงไม่ได้รับสิ่งต่างๆ นี้หรอก จากนั้น เธอก็หายไปแล้วก็ไม่เคยกลับมาหาลัคกี้อีกเลย
รัชนก สันโดษ
ชั้น ม. ๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
บนท้องฟ้าอันไกลโพ้น มีดวงจันทร์และดวงดาวที่ระยิบระยับพูดคุยกันอยู่ ดวงจันทร์พูดขึ้นว่า ฉันอยากเป็นอย่างพวกเธอจัง ดวงดาวจึงถามว่า ทำไมเหรอจ๊ะ พร้อมกับส่องแสงระยิบระยับ ดวงจันทร์กล่าวว่า เพราะฉันต้องอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อน เหมือนพวกเธอที่อยู่กันเป็นกลุ่ม พร้อมทั้งทำหน้าเศร้า ดวงดาวจึงบอกว่า เธอคิดว่าพวกเราอยู่กันเป็นกลุ่มแค่นี้จะมีความสุขเหรอ ดวงจันทร์ทำหน้างงแล้วถามต่อว่า พวกเธอไม่มีความสุขหรือไง ดวงดาวทั้งหลายตอบว่า มีสิ แต่ถ้าวันใดขาดเธอไป พวกเราจึงมีเธอเป็นเพื่อนด้วยไง ดวงจันทร์ถามด้วยสีหน้าดีใจว่า พวกเธอให้ฉันได้เป็นเพื่อนได้จริงหรือ ดวงดาวทั้งหลายยิ้มแล้วตอบว่า จริงสิ และพวกเราก็จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป และอยู่คู่กับท้องฟ้าตลอดไปนะจ๊ะ ดวงจันทร์ ดวงจันทร์กล่าวว่า ฉันสัญญาจะเป็นเพื่อนพวกเธอตลอดไป
นับตั้งแต่นั้นมาดวงจันทร์และดวงดาวก็เป็นเพื่อนที่อยู่คู่กันตลอดไปบนท้องฟ้า
นภาพร แจ้งวัฒนสมบัติ
ชั้น ม. ๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
ณ ใต้ทะเลแห่งหนึ่ง ได้เกิดมีเมืองใหญ่ ขึ้นเมืองหนึ่ง ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า เมืองบาดาล มีมานานเท่าไรไม่ปรากฏ แต่มนุษย์ไม่มีใครรู้ว่ามีเมืองนี้อยู่ในโลกนี้ เพราะมนุษย์ไม่ค่อยสนใจ คิดว่าในทะเลมีแต่สัตว์น้ำและปะการังธรรมดา ๆ แต่เมืองนี้ก็อยู่ในที่ลึกลับไม่มีใครสามารถหาพบได้โดยเฉพาะมนุษย์
เมืองบาดาลมีผู้ปกครอง คือ เจ้ามังกร และราชินีเงือกเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในนครแห่งนี้เป็นผู้ดูแลปกครองสัตว์น้ำทั้งหลายรวมไปถึง ต้นไม้ ปะการัง ในน้ำ เมืองนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่มากไม่มีที่สิ้นสุด เจ้ามังกรและราชินีเงือกมีลูก ด้วยกัน ๓ คน ผู้ชาย ๑ คน ผู้หญิง ๒ คน ผู้ชายมีลักษณะไปทางเจ้ามังกร ส่วนผู้หญิงมีลักษณะไปทางราชินีเงือก ใต้บาดาลก็จะมีการปกครอง คล้าย ๆ กับโลกมนุษย์ คือ มีหัวหน้า ปกครองแบ่งเป็นเขตปกครองต่าง ๆ ในทะเล เพราะในทะเลกว้างใหญ่มากจึงต้องมีหัวหน้าปกครองหลายคน และมีลูกน้อยมากมาย พวกที่อาศัยอยู่ในทะเลจะเป็นสัตว์น้ำทั้งหมด จะมีสัตว์น้ำอยู่แทบทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น กุ้ง หอย ปู ปลา ซึ่งแตกต่างแขนงออกไป อีกหลายร้อยชนิด สัตว์น้ำพวกนี้จะมีหน้าที่ปกครองแตกต่างกันไปตามหน้าที่ที่ได้รับ
ทุกคนในเมืองบางดาลจะอยู่กันอย่างมีความสุขไม่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเพราะแต่ละคนได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างดีและความสุขอย่างหนึ่งของผู้คนในเมืองบาดาล คือ ธรรมชาติที่งดงาม อากาศบริสุทธิ์ แต่ที่ใต้บาดาลมีกฎข้อห้ามอย่างหนึ่ง ห้ามสัตว์ทุกชนิดที่อยู่ในเมืองขึ้นไปบนเมืองมนุษย์ เพราะชีวิตความเป็นอยู่และนิสัยใจคอของสัตว์ในเมืองบาดาล และในโลกมนุษย์ ไม่เหมือนกันถ้าปะปนกันจะเกิดความวุ่นวายเพราะต่างคนต่างอยู่ชีวิตก็มีความสุขมนุษย์จะไม่สามารถล่วงรู้ที่ตั้งของเมืองบาดาล มีบ้างที่ดำน้ำลงไปดูปะการังแต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงสถานที่ลึกลับแห่งนี้เพราะไม่มีใครทราบเกี่ยวกับเรื่องเมืองบาดาลได้แต่รู้เรื่องในโลกมนุษย์เจ้ามังกรสามารถล่วงรู้ได้ เพราะในเมืองบาดาลมีลูกแก้ววิเศษ ซึ่งสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวในโลกมนุษย์ได้ทุกอย่าง จึงนำไปสู่การออกกฎข้อห้าม เพราะเห็นว่าโลกมนุษย์วุ่นวาย
ทางด้านลูกสาวทั้งสองคน มีนิสัยดี เชื่อฟังพ่อแม่เพราะไดรับการอบรมมาอย่างดีจะมีก็เพียงแต่ ลูกชายคนโตที่มีนิสัยค่อนข้างเกเรไม่ยอมเชื่อฟัง พ่อแม่ก็อบรมมาอย่างดีเท่า ๆ กัน แต่ เพราะตามใจคนเคยมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนทำให้เสียคนเลยเที่ยววางอำนาจบาทใหญ่ในเมืองบาดาลจะไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น แต่ทุกคนก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ แม้แต่เจ้ามังกรเองเพราะความที่รักลูกมากนั่นเอง
แต่แล้วเมืองบาดาลที่เคยสงบมานานก็เกิดเรื่องวุ่น ๆ ขึ้นจนได้เพราะเจ้าลูกชายตัวแสบได้หนีขึ้นไปบนโลกมนุษย์ ทำให้เจ้ามังกร สั่งให้คนหากันวุ่น ๆ ไปทั้งเมืองบาดาล แต่หาเท่าไรก็หาไม่พบ ทำให้เจ้ามังกรรู้ทันทีว่าลูกชายต้องหนีขึ้นไปบนโลกมนุษย์ เจ้ามังกรก็ได้แต่มองดูความเคลื่อนไหวของลูกชายทางลูกแก้ววิเศษ แต่ก็ไม่สามารถจะขึ้นไปตามได้เพราะผิดกฎที่ตัวเองตั้งขึ้น แล้วเจ้ามังกรคิดว่าปล่อยให้ลูกชายอยู่ในโลกมนุษย์สักพัก ก็อาจจะทำให้ความประพฤติหรือนืสัยเปลี่ยนแปลงไปก็ได้
ทางด้านเจ้าลูกชายตัวแสบ พอขึ้นไปบนโลกมนุษย์ก็เที่ยวไปเบ่งอำนาจเหมือนในเมืองบาดาลไม่มีผิด แล้วยังเที่ยวไปอวดใครต่อใครว่าตัวเองเป็นเจ้าชายที่อยู่ในเมืองบาดาลเพราะคิดว่าคนในโลกมนุษย์ก็คงรู้จักตนเหมือนในเมืองบาดาล แต่แล้วมันก็ไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะมนุษย์กาว่าเจ้าชายเป็นคนบ้า สติไม่ดี และโดนรุมไล่ตีจนได้รับบาดเจ็บ แต่ก็มีมนุษย์ใจดีให้ข้าวให้น้ำทานแต่ว่าเจ้าชายก็ไม่สามารถกินได้เพราะอาหารไม่เหมือนกับเจ้าชายทานในเมืองบาดาล ด้วยการที่ได้รับบาดเจ็บและอดข้าวอดน้ำทำให้ร่างกายอ่อนเพลียอย่างมาก และเจ้าชายคิดว่าตัวเขาเองต้องตายบนโลกมนุษย์แน่นอนและในตอนนี้ทำให้เขาสำนึกและเกิดขึ้นมาได้ว่า ควรจะเชื่อฟังพ่อตั้งแต่แรกไม่ควรจะหนีขึ้นมา และการที่เราเบ่งอำนาจในเมืองบาดาลก็ไม่ถูกต้องควรจะนึกถึงจิตใจของคนอื่นบ้าง ถ้าเราไม่โดนกับตัวเราเองก็คงจะไม่รู้สึกเพราะคนในโลกมนุษย์ไม่รู้จักเจ้าชายแต่คนในเมืองบาดาลรู้จักและเกรงใจจึงไม่สามารถทำอะไรได้
ทางด้านเจ้ามังกรที่เห็นเหตุการณ์มาตลอดจากลูกแก้วคิดว่าถึงเวลาสมควรแล้วที่เจ้าชายได้อยู่บนโลกมนุษย์ จึงไปนำตัวเจ้าชายกลับมาจึงต้องยอมฝ่ากฎของตัวเอง แต่ก็ถือว่าคุ้มเพราะการที่เจ้าชายไปอยู่บนโลกมนุษย์ทำให้เจ้าชายเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและนิสัยไปในทางที่ดี เจ้ามังกรได้นำเจ้าชายกลับมาที่เมืองบาดาลรักษาตัวจนหาย เจ้ามังกรก็ไม่ได้ว่าอะไรเจ้าชายมากนัก เพราะเห็นว่าเจ้าชายสำนึกผิดแล้ว แค่บอกว่า พ่อบอกแล้วว่าเรากับมนุษย์ไม่เหมือนกันถ้าสิ่งไหนดีพ่อก็จะไม่ห้ามลูก
หลังจากวันนั้น เจ้าชายก็ได้เปลี่ยนแปลงนิสัยดีขึ้น ไม่เบ่งอำนาจกับลูกน้องอีกต่อไป ทำให้เกิดความสงบมาสู่เมืองบาดาลอีกครั้งหนึ่ง
เจนจิรา ไตรสวัสดิ์วงษ์
ชั้น ม.๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
กาลครั้งหนึ่งมีขลุ่ยวิเศษมาก คือ เมื่อเป่าแล้วมีความไพเราะกว่าขลุ่ยอันใด ซึ่งเป็นสมบัติของชายคนหนึ่งชื่อ วิทนี ขลุ่ยของวิทนีเมื่อเป่าแล้วมีความไพเราะอย่างมากจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว เมื่อเขานำขลุ่ยอันนี้ไปเป่าในงานใดก็ตามจะมีผู้ที่สนใจและมาฟังกันเป็นจำนวนมาก
วันหนึ่งวิทนีก็ได้นำขลุ่ยของเขาไปเป่าในงานรื่นเริงของหมู่บ้าน ทุกคนก็พากันมาฟังเสียงขลุ่ยของวิทนี จนทำให้สิ่งต่าง ๆ ในงานดูเงียบเหงาไป เพราะต่างก็สนใจกันที่จะมาดูวิทนีเป่าขลุ่ย วิทนีได้เริ่มเป่าขลุ่ยของเขาเรื่อย ๆ คนที่ฟังต่างก็เริ่มเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงขลุ่ยอันนี้ แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีคนคนหนึ่งเดินมาตรงที่วิทนีเป้าขลุ่ย และกล่าวว่า ขลุ่ยท่านดูไปก็งั้น ๆ แหละ เป็นขลุ่ยธรรมดา เสียงก็ธรรมดาฟังแล้วไม่เห็นจะไพเราะไปกว่าของคนอื่นเลย สู้ของเราก็ไม่ได้ เป่าแล้วไม่มีเสียงไพเราะไปกว่าอีก เมื่อชายคนนั้นพูดดังนั้น คนทั้งหลายที่ชิ่นชมในเสียงขลุ่ยของวิทนี ต่างก็ว่า ขลุ่ยของท่านไพเราะกว่า วิเศษกว่าขลุ่ยของวิทนีอย่างไร เราอยากจะฟังจริง ๆ ชายคนนั้นจึงว่า หากอยากรู้ในวันพรุ่งนี้เราขอเชิญท่านทั้งหลายและท่านวิทนีไปที่ป่าหลังหมู่บ้านเพื่อทดสอบความสามารถของท่านสักหน่อยและเราก็แสดงความสามารถของเราเช่นกัน เมื่อชายคนนั้น พูดจบและงานต่าง ๆ เลิกแล้ว วิทนีก็เริ่มกล่าวว่า เรานั้นอยากจะชมฝีมือของท่านก่อน ชายคนนั้นก็ตอบตกลงและเริ่มแสดงความสามารถของเขา ในระหว่างที่เขาเริ่มแสดงความสามารถจนจบนั้น ทุกคนต่างก็ตั้งใจฟัง ชายคนนั้นเป่าขลุ่ยซึ่งเขาก็ทำได้ดีไม่แพ้วิทนี ต่อมาก็เป็นคราวของวิทนีบ้างเมื่อวิทนีเป่าทุกคนต่างก็ตั้งใจที่จะฟังเหมือนเดิม เมื่อทั้งคู่ต่างก็เป่าขลุ่ยจบแล้ว วิทนีเริ่มกล่าวว่า เราทั้งสองก็เป่าได้ดีไม่แพ้กันเลยฉะนั้น เราควรจะมาทดสอบกันโดยการเป่าขลุ่ยให้ทั้งป่านี้ต่างก็มาฟังเราเป่าขลุ่ยกันเถิด โดยให้สัตว์ทั้งหลายต่างก็พากันมาฟังเสียงขลุ่ย ชายคนนั้นตกลงและขอเริ่มก่อน แต่เมื่อชายคนนั้นเป่าขลุ่ยอย่างไรสัตว์ทั้งหลายต่างก็ไม่ได้มารวมกันเพื่อฟังเสียงขลุ่ยของเขา เขาเป่าจนหมดแรงและหยุดไปในที่สุด วิทนีจึงเริ่มเป่าขลุ่ยของเขาบ้าง และพอวิทนีเป่าขลุ่ยไปไม่นานสัตว์ทั้งหลายต่างก็พากันมาฟังและเคลิบเคลิ้มกันไป เมื่อวิทนีหยุดเป่า ชายคนนั้น กล่าวอย่างยอมรับความพ่ายแพ้ของตนว่า ท่านมีความสามารถจริง ๆ เราขอยอม แพ้ท่าน วิทนีก็กล่าวว่า ท่านก็เป่าได้ดีดเช่นกัน ชายคนนั้นกล่าวขอบคุณและกำลังจะเดินจากไป วิทนีก็กล่าวอีกว่า อันที่จริงแล้วเราก็อยากได้ท่านมาเป็นเพื่อน หากท่านจะมาเป็นเพื่อนกันกับเราได้ไหม ชายคนนั้น ได้ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า เรายินดีเช่นกัน หากท่านต้องการเรา จากวันนั้นเป็นต้นมาวิทนีกับชายคนนั้นก็เป็นเพื่อนกันและมีความรักและรู้ใจกันเป็นอย่างมาก
การะเกด นามพาโชค
ชั้น ม. ๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
โดโรธี เป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน เธอเป็นเด็กสาวที่น่ารัก เรียบร้อย ผมของเธอมีลักษณะเป็นรอน ๆ และเกลียวสีบรอนทอง
โดโรธีเป็นเด็กที่ขยันและตั้งใจเรียน แต่เธอเรียนไม่เก่ง เรียบร้อย เธอได้พยายามในการสอบหลายครั้ง แต่เธอก็ทำไม่สำเร็จ จนในที่สุด คุณครูได้เรียกเธอไปพบแล้วถามว่า เธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า โดโรธีตอบว่า หนูขอโทษค่ะ หนูทำให้พ่อแม่และคุณครูผิดหวัง หนูจะพยายามอีกครั้งค่ะ จ๊อส เพื่อนร่วมห้องของโดโรธี ชอบแกล้งและต่อว่าเธอต่อหน้าผู้คนมากมาย จนเธออับอาย และต้องเดินหนีผู้คนเหล่านั้นไปที่ตึกหลังโรงเรียนเพื่อร้องให้ ทุกครั้งที่เธอร้องไห้เธอจะปลอบใจและให้กำลังใจตัวเองเสมอว่า เราต้องไม่เป็นอย่างนั้น เราจะต้องทำได้
บ้านของโดโรธีทำฟาร์มเลี้ยงวัว เป็นกระท่อมหลังเล็ก ๆ และโทรมมาก พ่อแม่เธอจะออกไปที่ฟาร์มตอนเช้าทุกวัน และโดโรธีเองก็เดินทางไปโรงเรียนกับบ๊อบบี้ สุนัขของเธอล้อและหัวเราะเยาะ แต่เธอก็ไม่โกรธ เธอกลับทำเฉยเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนเย็นเธอต้องกลับมาช่วยงานบ้าน ไม่ว่าจะเป็นหุงข้าว ทำกับข้าว เก็บล้างกวดถู เธอต้องทำเองทุกอย่าง เพราะพ่อแม่ของเธอเหนื่อยมาทั้งวัน แต่เธอก็ไม่ย่อท้อ กลับมีความสุขที่ได้ช่วยพ่อแม่ เธอเอาเวลาที่เหลือมานั่งอ่านหนังสือ ทบทวนบทเรียน วันละครึ่งชั่วโมง
ใกล้สอบแล้ว แต่เธอก็ไม่เครียดและก็ไม่กลัว เพราะเธอได้เก็บสะสมความรู้มาวันละนิดวันละหน่อย เธอเตรียมความพร้อมมาอย่างเต็มที่ เมื่อผลสอบออกมา เธอได้ทำคะแนนได้ดีในแต่ละวิชา โดยมีคุณครูและพ่อแม่คอยเป็นกำลังใจให้ เพื่อน ๆ และครูของเธอดีใจและแปลกใจมาก ต่างคนต่างก็แสดงความยินดีด้วย ยกเว้นจ๊อส จ๊อสได้อับอายในการกระทำของเขาเอง ในที่สุด จ๊อสก็ไม่มีใครคบกลายเป็นโดโรธีที่มีแต่คนยกย่องสรรเสริญ
โดโรธีได้นำคะแนนไปให้พ่อแม่ดูที่บ้าน มันเป็นวันที่เธอมีความสุขมาก เธอได้รับรางวัลจากเธียร่าซึ่งเป็นแม่ของเธอ คือ ชุดกระโปรงเอี๊ยมสีแดงตัวใหม่ เธอดีใจมากแล้วกอดเธียร่าและพูดว่า หนูได้ทำความฝันของหนูและทุก ๆ คน ได้สำเร็จแล้ว หนูขอบคุณคุณแม่มาก หนูรักแม่ค่ะ เธียร่ายิ้มและปลื้มใจจนน้ำตาคลอ
เธอได้ลบคำสบประมาทของทุกคนได้ เธอทำสำเร็จแล้ว
และนี่แหละคือรางวัลชีวิตของเธอ
เกศรินทร์ ธงชัย
ชั้น ม. ๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีโรงเรียนอนุบาลเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อว่า อนุบาลแสนสุข ที่นี่เป็นแหล่งรวมพลคนรักลูก เด็กที่มาสมัครเรียนต้องมีพ่อแม่มาด้วย เพื่อจะได้เรียนด้วยกันเพราะที่นี่จะแบ่งห้องเรียนเป็น 2 ห้อง คือ ห้องเด็ก และห้องพ่อแม่ของเด็ก ๆ พ่อแม่ที่มาเรียนจะต้องเรียนวิชารักลูกให้เป็นจึงจะผ่าน ถ้าผ่านจะทำให้ลูกของตังเองไม่ต้องซ้ำชั้นส่วนพ่อแม่ที่ต้องเรียนวิชานี้ไม่ผ่าน ทำให้ลูกของตัวเองต้องซ้ำชั้นจนเป็นที่อับอายของพ่อแม่คนอื่น
ข่าวของโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้ เลื่องลือไปถึงหูของคุณแม่ของลูกหมี จึงทำให้คุณแม่ของลูกหมีอยากให้ลูกหมีเรียนโรงเรียนนี้ แต่ทำยังไงได้ ตอนนี้มีแต่แม่ ไม่มีพ่อแล้ว เพราะท่านเสียไปนานแล้ว และโรงเรียนนี้ต้องมีพ่อและแม่ด้วยสิ เราจะทำยังไงดี
คุณแม่ของลูกหมีอุตส่าห์เสี่ยงแต่งตัวเป็นแม่วันหนึ่ง และก็แต่งตัวเป็นพ่ออีกวันหนึ่งก็หวังว่าครูใหญ่จะจับไม่ได้ ลูกหมีแปลกใจมากที่จะต้องสมัครเป็นนักเรียนถึงสองครั้งแถมคุณแม่ยังพูดว่า ดิฉัน เอ๊ย! ผมเป็นพ่อครับ วันนี้อยากเอาลูกมาสมัครเรียนครับ หวังว่าครูใหญ่คงจะรับลูกหมีไว้นะครับ ครูใหญ่จ้องมองอย่างขบขัน เพราะรู้ว่าคุณแม่ของลูกหมีปลอมตัวมา แต่ก็ไม่ว่าอะไร แต่ก็จะพิสูจน์ว่าผู้หญิงคนนี้จะเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อลูกหมีได้หรือเปล่า ครูใหญ่เลยตอบไปว่า ผมจะรับเด็กชายลูกหมีไว้เรียนโรงเรียนนี้ครับ
คุณแม่ลูกหมีได้ฟังแล้ว รู้สึกดีใจ ที่ได้เห็นลูกหมีว่า ทำไม พ่อของลูกหมีไม่มาพร้อมแม่ของลูกหมีล่ะ วันนี้พ่อมา แต่แม่ไม่มา วันไหนแม่มาแต่พ่อไม่มา คำถามนี้จึงเป็นปัญหาที่ลูกหมีไม่อยากไปโรงเรียน คุณแม่จึงถามถึงสาเหตุ ลูกหมีเล่าให้ฟังทั้งหมด และแม่ก็อธิบายให้ฟังว่า การไปโรเรียนจะทำให้ลูกหมีโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคนชื่นชม และยังโตขึ้นไปเป็นอะไรที่ดี ๆ ที่ลูกหมีอยากเป็น ลูกหมีอยากเป็น ลูกหมีอย่าไปฟังคำพูดของคนอื่นสิ เราต้องเชี่อมั่นในตนเอง พอหล่อนพูดจบลูกหมีจึงคิดได้ แต่หล่อนนึกในใจว่า หล่อนจะต้องทำให้ลูกหมีมีอย่างเด็กที่คนอื่นมี ถึงแม้จะต้องปลอมตัวมาก็ตาม
วันหนึ่งได้มีการอบรมวิชาพ่อที่ดี คุณแม่ของลูกหมีต้องปลอมตัวมาเป็นพ่อ และก็ต้องออกมาเล่าเรื่อง การเลี้ยงดูลูกให้เหล่าคุณพ่ออื่น ๆ ได้ฟังแต่น้ำเสียงของคุณแม่ของลูกหมี ซึ่งแตกต่างไปจากคุณพ่อคนอื่น ๆ ทำให้เป็นเรื่องน่าขำขันของพ่อคนอื่น ๆ คุณแม่ของลูกหมีทนไม่ไหว จึงบอกไปว่า ใช่ ฉันเป็นผู้หญิง ฉันไม่ใช่ผู้ชาย ฉันผิดด้วยหรือที่จะต้องปลอมตัวเพื่อให้ลูกหมีได้เรียนในโรงเรียนแห่งนี้ ถ้าพวกคุณเห็นความรักของแม่ที่มีต่อลูกเป็นเรื่องตลก พวกคุณจึงหัวเราะกันต่อไปเถอะ คราวนี้พ่อทุกคนเงียบ เพราะเริ่มจะเข้าใจหัวอกของการเป็นแม่ของลูกหมีแล้ว ครูใหญ่ได้ยินดังนั้นจึงบอกกับทุกคนว่า เริ่มแรกผมตั้งใจสร้างโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้ เพื่อสนับสนุนสถาบันครอบครัวอันอบอุ่น แต่ยังมีเด็กอีกมากมายที่กำพร้าพ่อหรือแม่ที่ไม่มีโอกาสได้เรียน ผมน่าจะให้พวกเขาได้เรียนนะ เอาละ ผมขอบคุณแม่ของลูกหมีที่ทำให้ตาสว่าง ถึงแม้เด็กกำพร้าที่มีแต่แม่ยังได้รับความอบอุ่นเต็มที่เหมือนกัน ครูใหญ่พูดเสร็จจึงมอบรางวัล ได้แก่ แม่ของลูกหมี ทุกคนต่างแสดงความยินดีให้แก่ครอบครัวของลูกหมี ที่ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ มาได้
หลังจากวันนั้นครูใหญ่ได้ให้เด็กกำพร้ามาเรียนในโรงเรียนได้ ทำให้โรงเรียนนี้เป็นสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไปด้วย ขึงได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนอนุบาลแสนสุขมาเป็นโรงเรียนอนุบาล หมีน้อย ตั้งแต่นั้นมา
พรทิพย์ สันตุ้ยลือ
ชั้น ม. ๖/๖ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง