การสอนสัมพันธ์ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ
ชาดา เมนะสูต
ภาษาเป็นสิ่งที่ใช้สื่อสารกันทั่วไป ดังนั้นจึงมีการแลกเปลี่ยน และถ่ายทอดภาษาต่าง ๆ อยู่ในทุกประเทศทั่วโลก
ภาษาไทยก็เช่นกัน ในด้านการใช้ภาษาจะเห็นได้ว่ามีคำศัพท์ที่เป็นภาษาอื่นปะปนอยู่ มากมาย วรรณคดีบางเรื่อง ก็รับมาจากต่างชาติ แต่ที่รับมามากจนเกือบจะเป็นพิมพ์เดียวกัน นั่นคือ ไวยากรณ์ไทย ที่มีแบบแผนคล้ายคลึงกับไวยากรณ์อังกฤษ ดังนั้นจึงขอกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไวยากรณ์ไทยและไวยากรณ์อังกฤษไว้ ณ ที่นี้เป็นบางส่วน เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการสอนให้สัมพันธ์กันต่อไป
ไวยากรณ์ คือระเบียบของภาษา หรือหลักภาษา ซึ่งประกอบด้วย กฎเกณฑ์ต่าง ๆ สำหรับผู้ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติอย่างเดียวกัน
นักภาษาศาสตร์ เช่น ฮัลลิเดย์ (Halliday) ได้กล่าวถึงความหมายส่วนหนึ่งของไวยากรณ์ว่า ไวยากรณ์คือระบบของภาษา ซึ่งมีรากฐานมาจากหน้าที่ของภาษา ซึ่งจะแสดงออกมาในระบบของภาษา ๑
จินดามณี เป็นตำราเรียนภาษาไทยเล่มแรกที่แต่งขึ้นโดยคนไทย ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่งโดยพระมหาราชครู กล่าวถึง ระเบียบภาษาไทย บางลักษณะ เช่น เรื่องตัวอักษร การผสมอักษร อ่านเป็นคำ สอนวิธีใช้คำและหลักการประพันธ์
ในขณะที่พระมหาราชครูแต่งจินดามณีนั้น กลุ่มมิชชันนารีจากยุโรปได้เข้ามาตั้งโรงเรียนในกรุงศรีอยุธยาเพื่อสอนศาสนาคริสต์ และสอนหนังสือแก่เด็กไทย สันนิษฐานว่าคงจะได้แต่งตำราภาษาไทยใช้อยู่บ้างแล้ว แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีผู้แต่งตำราเรียนภาษาไทยขึ้นอีก คือ มูลบทบรรพกิจวานิติกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ และพิศาลการัตน์ ผู้แต่งคือ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
ต่อมา กรมการศึกษาได้เขียนเรื่องตำราไวยากรณ์ขึ้นเป็นครั้งแรก คือ ตำราสยามไวยากรณ์ ภายหลังเจ้าพระยาสุเรนทราธิบดี ได้เรียบเรียงขึ้นอีกเล่มหนึ่ง โดยย่อจากฉบับเก่าและเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ยังไม่จบบริบูรณ์
ใน พ.ศ.๒๔๖๑ พระยาอุปกิตศิลปสาร ได้เรียบเรียงขึ้นใหม่ โดยใช้ตำราสยามไวยากรณ์ ทั้งสองเล่มเป็นหลักในการเขียนเรียบเรียงใหม่ นับว่าเป็นตำรวจไวยากรณ์ไทยที่ค่อยข้างสมบูรณ์
ตำราไวยากรณ์ไทยของพระยาอุปกิตศิลปสาร ได้อาศัยรูปโครงภาษาอังกฤษเป็นพื้น แต่ชื่อในตำราใช้คำสันสกฤต ดังนั้น ในการสอนหลักภาษาไทย และหลักภาษาอังกฤษ จึงให้สัมพันธ์กันได้ เพราะมีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก จะแตกต่างกันในรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น
ขอยกตัวอย่างเรื่องประโยค ซึ่งจะต้องกล่าวตั้งแต่เรื่องชนิดของคำ ชนิดของ Tense และชนิดของประโยค วลี (Phrases) และ ประโยคย่อยหรืออนุประโยค (Clauses)
ในตำราไทยแบ่งประโยคออกเป็น ๓ ชนิด คือ
๑ ประโยคความเดียว (Simple Sentence) แบ่งเป็น ภาคประธาน (Subject) และ ภาคแสดง (Predicate) เช่นเดียวกันภาษาอังกฤษ เช่น
ภาคประธาน (Subject) |
ภาคแสดง (Predicate) |
๑.
Birds
๒. Chada ๓. Suchittra ๔. My parents ๕. John |
Fly
Is writing a story. Looks beautiful. Live in Thailand. ate an apple. |
รูปแบบประโยคความเดียว (Simple Sentence) เป็นรูปแบบที่มีประธานตัวเดียว กริยาแท้ตัวเดียว มีใจความเดียว ในภาษาไทยจะกล่าวกว้าง ๆ ว่า ประโยคความเดียวประกอบด้วย
ประธาน + อกรรพกริยา
(Subject) + (intransitive verb) เช่น
The girl slept.
หรือ ประธาน + สกรรมกริยา + กรรมตรง
Subject + intransitive verb + direct object เช่น
The thief stole her bag.
หรือ ประธาน + สกรรมกริยา + กรรมรอง + กรรมตรง
Subject + intransitive verb + indirect object + direct object เช่น
My friend will buy me a present.
หรือจะแต่งประโยคอีกแบบก็ได้ คือ
My friend will buy a present for me.
นอกจากนี้ยังมีรูปแบบ simple sentence แบบต่าง ๆ อีก แต่จะกล่าวเฉพาะที่คล้ายคลึงกับหลักภาษาไทยหรือประโยคไทย ๆ การกล่าวคือ simple sentence ควรจะเปรียบเทียบคำกริยา (Verb) ชนิดต่าง ๆ ให้นักเรียนดูทั้ง ๔ ชนิด ไทยจะเห็นว่าเหมือนหรือคล้ายกันมากกับ Verb ในภาษาอังกฤษ คืออกรรพกริยา (intransitive verbs), สกรรมกริยา (transitive verbs) ส่วน linking verbs ในภาษาอังกฤษมีความคล้ายกัน วิกตรรถกริยา (กริยาเติมเต็ม) แต่มีข้อแตกต่างอยู่บ้าง
กริยาทั้ง ๓ ชนิดนี้ในภาษาอังกฤษเรียน main verbs คือมี main verbs ๓ ชนิด + auxiliary verbs แต่แยกเป็นกริยา ๔ ชนิด คือ อกรรมกริยา, สกรรมกริยา, วิกตรรถกริยา, กริยานุเคราะห์ กล่าวได้ว่า กริยาในภาษาไทย และ verbs ในภาษาอังกฤษ เป็นเรื่องเดียวกัน ประโยคความเดียวกับ simple sentence ก็เป็นเรื่องเดียวกัน
ความหมายของประโยคความรวม คือ การนำประโยคความเดียวตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไปมารวมกัน โดยมีสันธานหลัก ๆ ๔ ชนิด เป็นตัวเชื่อม คือ และ (กับ) แต่ หรือ เพราะ (จึง)
ในภาษาอังกฤษก็เช่นกัน ประโยคความรวมคือ compound sentence ประกอบด้วย clause (ประโยคย่อย) ตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไปมารวมกัน เช่น
เชื่อมด้วยคำสันธาน and (และ, กับ)
เชื่อด้วยคำสันธาน but (แต่)
เชื่อด้วยคำสันธาน or (หรือ)
เชื่อด้วยคำสันธาน for (เพราะ)
คำสันธานที่ใช้เชื่อมประโยคความรวม เรียกว่า co-ordination conjunction
จะเห็นได้ว่า ประโยคความรวมกับ compound sentence เป็นเรื่องเดียวกัน มีความแตกต่างอยู่บ้างเพราะบางที compound sentence อาจไม่ใช้ coordinating conjunction เป็นคำเชื่อม แต่จะใช้เครื่องหมาย semi-colon (;) แทน เช่น
The man was frightened; he called the police.
ต่อไปขอกล่าวถึง ประโยคความซ้อน (สังกรประโยค) หรือ complex sentence (ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกัน)
อาจารย์กำชัย ทองหล่อ ให้ความหมายสังกรประโยค ดังนี้
สังกรประโยค คือ ประโยคใหญ่ที่มีประโยคเล็ก ตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไปรวมกัน แต่มีประโยคหัวหน้า หรือประโยคหลักที่มีใจความสำคัญเพียงประโยคเดียว นอกนั้นเป็นประโยคเล็กที่ทำหน้าที่แต่งหรือประกอบประโยคหลัก
สังกรประโยค มีลักษณะต่างกับอเนกรรถประโยค คือ ประโยคเล็กของสังกรประโยค มีใจความสำคัญแต่เพียงประโยคหัวหน้าประโยคเดียว ส่วนประโยคเล็กของอเนกรรถประโยคมีใจความสำคัญด้วยกันทุกประโยค๑
ประโยคอเนกรรถประโยค คือ ประโยคความรวม
ส่วน complex sentence นั้น รองศาสตราจารย์ อลิสา วานิชดี อธิบายว่า complex sentence ประกอบด้วย main clause และ subordinate clause main clause เป็นความคิดหรือใจความหลัก ส่วน subordinate clause เป็นความคิดหรือใจความสำคัญรองที่ขยายความ main clause๒
รองศาสตราจารย์ ดร.ณัฐชยา เฉลยทรัพย์ อธิบายว่า complex sentence ประกอบด้วย main clause (independent clause) และ subordinate clause (dependent clause) โดย subordinate clause แบ่งเป็น ๓ ประเภท ได้แก่ adjective clause (relative clause), noun clause และ adverb clause๓
จะเห็นว่าคำอธิบาย complex sentence เข้าใจง่ายกว่าคำอธิบายสังกรประโยค แต่มีที่ ไม่ได้ศึกษาภาษาอังกฤษอาจจะสงสัย จึงขออธิบายเปรียบเทียบกับภาษาไทย ดังนี้
๑. Noun clause (นามานุประโยค) คือประโยคย่อยที่ทำหน้าที่คล้ายกับนาม คือ เป็นบทประธาน, บทกรรม หรือบทขยาย ก็ได้ เช่น
What you said is true. (เป็นบทประธาน)
ฉันเห็นคนข้ามถนน (เป็นบทกรรม)
๒. Adjective clause หรือ Relative clause (คุณานุประโยค) คือ ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่ขยายนาม, สรรพนาม และใช้ประพันธ์สรรพนาม relative pronoun (ที่, ซึ่ง, อัน, ผู้, who, which, that, ..) เป็นตัวเชื่อม เช่น
The girl who came late is my student. Who came late ขยาย the girl
ฉันชอบบ้านที่อยู่บนเนิน
ที่อยู่บนเนิน ขยายบ้าน
๓. Adverb clause (วิเศษณานุประโยค) คือ ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่ขยายคำกริยาหรือ คำวิเศษณ์
หรืออาจอธิบายได้ว่า Adverb clause เป็นประโยคย่อมที่ขึ้นต้นด้วยคำสันธาน ชนิด subordinate conjunction (เป็นคำสันธานที่ใช้เชื่อมประโยคย่อยเข้ากับประโยคหลัก ส่วนคำสันธานที่ใช้ในประโยคความรวม เรียกว่า coordinating conjunction)
คำสันธานชนิด subordinate conjunction ทำหน้าที่ต่าง ๆ เช่น
๑. บอกเวลา ได้แก่ before, after, when, while, ..
๒. บอกลักษณะ ได้แก่ as if, as though,
๓. บอกการเปรียบเทียบ ได้แก่ as as
๔. บอกวัตถุประสงค์ ได้แก่ so that, in order that, ..
๕. บอกสถานที่ ได้แก่ where, wherever, .
๖. บอกความขัดแย้ง ได้แก่ though, even if, .
๗. บอกเงื่อนไข ได้แก่ If, provided, unless, .
ตัวอย่างเช่น
If it rains we will stay indoors.
I will go when I have finished my homework.
I ate as fast as I could.
ประโยค complex sentence ถ้านำมาใช้อธิบายประโยคความซ้อนในภาษาไทย นักเรียนอาจจะเข้าใจได้ง่ายกว่า การที่จะอธิบายจากภาษาไทยโดยตรง นี่หมายถึงว่านักเรียนควรจะมีความรู้ภาษาอังกฤษพอสมควร
จากที่อธิบายเปรียบเทียบมาทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ถึงความสัมพันธ์ระหว่างไวยากรณ์ไทยกับไวยากรณ์อังกฤษ
ควรสอนภาษาไทยสัมพันธ์กับภาษาอังกฤษหรือไม่
ในการสอนภาษาไทย ถ้านักเรียนมีความเข้าใจหลักภาษาไทยดีแล้ว สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างได้ผล ครูผู้สอนควรจะแสดงความสัมพันธ์ระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษให้นักเรียนได้ศึกษาทีละขั้น โดยต้องศึกษาเนื้อหาและจุดประสงค์ การเรียนภาษาอังกฤษในชั้นเรียนของผู้เรียนก่อน
ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ นักเรียนได้เรียนภาษาอังกฤษจากหนังสือพิมพ์ ซึ่งต้องแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยอยู่เสมอ ๆ ครูภาษาไทยก็ควรจะแนะนำให้นักเรียนสังเกตว่า การจับใจความสำคัญและถอดความจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยนั้นทำอย่างไร และถ้านักเรียนจะแปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ จะทำได้อย่างไร ลองให้นักเรียนเขียนเรื่องจากจินตนาการเป็นภาษาไทย แล้วลองเรียบเรียงเป็นภาษาอังกฤษอีกที โดยใช้ Tense ง่าย ๆ เช่น Present tense (ปัจจุบันกาล) และ Past tense (อดีตกาล) โดยให้ดูรูปแบบการใช้ Tense ต่าง ๆ ดังนี้
๑. Present simple tense (ประธานเอกพจน์ + กริยาช่อง ๑ เติม s หรือ es) (ประธานพหูพจน์ + กริยาช่อง ๑)
He / She / It sings.
I / You / We / They sing.
ใช้กับเหตุการณ์ปัจจุบัน, สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ, สิ่งที่กล่าวนั้นเป็นจริงตลอดไป, สามารถแสดงตามตางรางเวลา, เครื่องบิน, สุภาษิต, ใช้กับคำกริยาที่เดียวกัน ภาวะของจิตใจ
๒. present continuous tense (is , am, are + กริยาช่อง ๑ เติม ing)
He / She / It is singing.
You / We / They are singing.
I am singing.
ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน
๓. Present perfect tense (has, have + กริยาช่อง ๓)
He / She / It has sung.
I / You / We / They have sung.
ใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบลงไปไม่นาน, ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต แต่มีผลต่อจนถึงปัจจุบัน, ใช้กับเหตุการณ์ที่เคยหรือไม่เคยทำในอดีต แต่ไม่ได้กำหนดเวลาแน่นอน สังเกตจาก ever, never /ใช้กับ Yet กรณีเป็นคำถามและปฏิเสธวางไว้ท้ายประโยค/ใช้กับ already อยู่กึ่งกลางระหว่าง Verb to have + verb ช่อง ๓ ใช้กับคำถามและประโยค
๔. Present perfect continuous tense (has, have + been + กริยาช่อง ๑ เติม ing)
He / She / It has been singing.
I / You / We / They have been singing.
ใช้กับการกระทำที่เริ่มในอดีต และได้กระทำต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน สังเกตจากคำว่า since, for, during the last, month, until now เป็นต้น
เหตุการณ์ที่ทำตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะดำเนินต่อไปอีกในอนาคต
๕. Past simple tense (กริยาช่อง ๒)
He / She / It / I / You / We / They sang.
ใช้กริยาช่อง ๒ ใช้เมื่อการกระทำจบลงไปแล้วในอดีต, ใช้แสดงการกระทำอันเป็นนิสัยในอดีต
๖. Past continuous tense (was, were + กริยาช่อง ๑ เติม ing)
I / He / She / It was singing.
You / We / They were singing.
ใช้กับ ๒ เหตุการณ์อดีตที่เกิดขึ้น และดำเนินไปพร้อม ๆ กัน สังเกตได้จากคำเชื่อม While, as ใช้ Past continuous tense ทั้ง ๒ ประโยคใช้คู่กับ past simple ใน ๒ เหตุการณ์อดีต เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในอดีต past continuous tense ในขณะที่มีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดแทรกขึ้นมาใช้ Past simple tense
๗. Past perfect tense (had + กริยาช่อง ๓)
He / She / It / I / You / We / They had sung.
ใช้คู่กับ past simple ใน ๒ เหตุการณ์อดีต คือ เหตุการณ์หนึ่งเกิดก่อนและเสร็จเรียบร้อยแล้วในอดีตใช้ past perfect ถ้ากำลังดำเนินอยู่ใน past continuous ดังกล่าวมาแล้ว และมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นภายหลังใช้ past simple tense สังเกตจากตัวเชื่อม before, after, when
๘. Past perfect continuous tense (had + been + กริยาช่อง ๑ เติม ing)
We / He / She / It / I / You / We / They had been singing.
ใช้คู่กับ past simple tense ใน ๒ เหตุการณ์อดีต คือเหตุการณ์หนึ่งเกิดก่อนและกำลังดำเนินต่อเนื่องกัน ใช้ Past perfect continuous tense และมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นภายหลัง ใช้ past simple tense ประโยคที่ใช้ past perfect continuous tense จะได้ความดีกว่า past perfect tense ตรงที่มีการเน้นถึงความต่อเนื่องของเวลา และมักจะมีวลี for a short time, for a little while, for a few seconds
๙. Future simple tense (will, shall + กริยาช่อง ๑) หรือ (be going to + กริยาช่อง ๑)
He / She / It / I / You / We / They will sing.
ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต, ใช้กับประโยคที่ขอร้องหรือขออนุญาต / be going to จะใช้แทน will, shall ได้เฉพาะเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นโดยความตั้งใจแน่วแน่ของมนุษย์ หรือประโยคที่ขอร้อง
๑๐. Future continuous tense (will, shall + be + กริยาช่อง ๑ เติม ing)
He / She / It / I / You / We / They will be singing.
ใช้กับเหตุการณ์ในอนาคต ที่ได้ตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะทำ, ใช้คู่กับ present simple tense ใน ๒ เหตุการณ์อนาคตซึ่งเกิดไม่พร้อมกัน เหตุการณ์ที่เกิดก่อนใช้ Future continuous tense, ใช้แสดงว่า ณ จุดหนึ่งของเวลาในอนาคตที่ระบุไว้อย่างชัดเจนนั้น จะมีเหตุการณ์อะไรกำลังดำเนินอยู่, ใช้คาดคะเนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
๑๑. Future perfect tense (will, shall + have + กริยาช่อง ๓)
He / She / It / I / You / We / They will have sung.
ใช้แสดงการกระทำซึ่งจะสำเร็จเรียบร้อยแล้ว หรือใกล้ระยะเวลาที่กำหนดในอนาคต / ใช้คาดการณ์ว่า เมื่อถึงเวลาหนึ่งในอนาคตที่ระบุไว้อย่างชัดเจนนั้น เหตุการณ์อย่างหนึ่งจะได้เสร็จสิ้นลง หรือเสร็จเรียบร้อย สังเกตจาก by .. เช่น by February / ใช้คู่กับ present simple ใน ๒ เหตุการณ์อนาคตที่เกิดขึ้นพร้อมกัน เหตุการณ์เกิดภายหลังใช้ present simple tense
๑๒. Future perfect continuous tense (will, shall + have + been + กริยาช่อง ๑ เติม ing)
He / She / It / I / You / We / They will have been singing.
ใช้คาดการณ์ว่า เหตุการณ์จะได้ทำเป็นระยะเวลาเท่าใดในอนาคต สังเกตจาก By + future time for + a period of time ต่างกับ future perfect tense ในข้อที่ว่า future perfect tense แสดงถึงการกระทำที่ต่อเนื่องกันมิได้หยุด
ในระยะแรกอาจจะให้นักเรียนแปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ โดยการใช้ tense ง่าย ๆ เช่น simple tense, past tense, present continuous tense และ past continuous tense ใช้ Dictionary ไทย-อังกฤษ โดยใช้ศัพท์ที่ใช้กันอยู่ทั่วไป จนเมื่อมีความชำนาญแล้ว จึงเปลี่ยนไปใช้ภาษาที่สละสลวยมากขึ้น แต่หากนักเรียนเรียบเรียงภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ทาง Internet ควรใช้ภาษาที่ไม่ซับซ้อน เพราะคนที่อ่าน Internet เป็นคนทุกชาติทั่วโลก ควรจะใช้ภาษาที่สื่อให้เข้าใจได้อย่าง รวดเร็ว ไม่สลับซับซ้อน และสับสน
จะเห็นได้ว่า การสอนภาษาไทยสัมพันธ์กับภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่ไม่ยาก หากทำได้ควรจะทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะโลกทุกวันนี้เป็นโลกของข่าวสารไร้พรมแดน ไร้ชนชาติ และไร้ชนชั้น คนทุกคนสามารถเข้าถึงข่าวสารได้ แต่จะมีใครสักกี่คนที่เข้าใจข่าวสารนั้นอย่างถ่องแท้ แล้วมองเห็นคุณค่า อยากค้นคว้า และนำสิ่งที่ค้นคว้าได้เผยแพร่ออกไปสูโลกกว้าง นั่นหมายถึงว่า บุคคลผู้นั้นจะต้องค้นคว้าเป็น เรียบเรียงเป็นภาษาไทยได้ดี และสามารถถ่ายทอดเป็นภาษาอังกฤษได้
เด็กไทยสามารถทำงานดังกล่าวได้แน่นอน ถ้านักเรียนสามารถนำภาษาไทยไปเรียบเรียงและถ่ายทอดได้ เมื่อเข้าใจว่าหลักภาษาไทยและหลักภาษาอังกฤษ มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ก็คงจะมีความเชื่อมั่นว่า จะสามารถเรียบเรียงภาษาอังกฤษได้ดีเช่นกัน
ตัวอย่างที่นำมาเสนอ ณ ที่นี้ เป็นเพียงก้าวเล็ก ๆ ก้าวแรกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๒ ของโรงเรียนสตรีวัดระฆังเท่านั้น
บรรณานุกรม
กำชัย ทองหล่อ หลักภาษาไทย, กรุงเทพมหานคร : รวมสาส์น. ๒๕๓๗.
จงจิต นิมมานนรเทพ และสาธิมา ทองนอก คู่มือภาษาไทย ม.๒, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์
MAC. ๒๕๓๘.
ณัชยา เฉลยทรัพย์ Organizing Simple and Compound Sentences, เอกสารประกอบการสอนชุด
วิชา English Writing, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
๒๕๔๐.
ณัชยา เฉลยทรัพย์ Organizing Complex Sentences : Adjective Clause and Noun Clauses, เอกสาร
ประกอบการสอนชุดวิชา English Writing, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย
สุโขทัยธรรมาธิราช. ๒๕๔๐.
ธง วิทัยวัฒน์ หลักการใช้ TENSE และ IDIOMS, กรุงเทพมหานคร : โรงเรียนเสริมอาชีพ
น้ำทิพย์ ภิงคารวัฒน์ Reducing and Expanding Setences เอกสารประกอบการสอนชุดวิชา
English Writing, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ๒๕๔๐
สิทธา พินิจภูวดล ลักษณะภาษาไทย, เอกสารประกอบการสอนชุดวิชาไทยศึกษา,
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ๒๕๔๐.
สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ หลักภาษาไทย, กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช. ๒๕๓๖.
อลิสา วานิชดี Organizing Complex Sentences : Adverb Clause, เอกสารประกอบการสอบชุด
วิชา English Writing, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
๒๕๔๐.
อุปกิตศิลปสาร, พระยา หลักภาษาไทย, กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช. ๒๕๓๙.
เอื้อน เล่งเจริญ การใช้ภาษาอังกฤษ, กรุงเทพมหานคร : รวมสาส์น. ๒๕๓๗.