ที่มาของเมือง
"ขอนแก่น"
ชื่อ "ขอนแก่น"
มีเรื่องราวเล่าต่อกันมาว่า ก่อนที่เพี้ยเมืองแพน (อยู่บ้าน "ชีโหล่น")
จะเข้ามาตั้งหลักบ้านแปงเมือง อยู่ที่บ้านบึงบอนนั้น ตอมะขามใหญ่ที่บ้านขามแก่น
(บางตำราเรียกกันว่าบ้านขามใหญ่) อำเภอน้ำพอง
ซึ่งตายไปนานแล้ว
เกิดงอกงามขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เพี้ยเมืองแพนได้มาตั้งเมืองอยู่ในเขตแขวงนี้ชาวบ้านจึงถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์และพร้อมใจกัน
ก่อเจดีย์คร่อมต้นมะขามนั้นไว้ โดยบรรจุพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
9 บท และเรียกชื่อเจดีย์นี้ว่า "เจดีย์ขามแก่น"
หรือ "พระธาตุขามแก่น"
ถือเป็นปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเมื่อมีการตั้งจึงถึอเอานิมิตนี้ตั้งชื่อเมืองว่า
" ขามแก่น "
ต่อมาก็เรียกเพี้ยนเป็น "
เมืองขอนแก่น "
การตั้งเมืองขอนแก่น
จากการศึกษาพบว่าการตั้งเมืองขอนแก่น ในปี พ.ศ.2340 เกิดจากปัจจัย 2
ประการด้วยกันคือ
ประการแรก
เกิดจากความต้องการที่จะตั้งตนเป็นใหญ่ของขุนนาง "เจ้าเพี้ยเมืองแพน"
เองโดยเพี้ยเมืองแพนได้รวบรวม
ผู้คนของตนราว 330 คน ไปตั้งเมืองใหม่
ที่บ้านดอนกระเทียมแขวงเมืองชนบทแล้วขอให้กรุงเทพฯ ตั้งเป็นเมืองขึ้นตรงต่อ
กรุงเทพฯ โดยผ่านสายการปกครองควบคุมจากเมืองนครราชสีมา
ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนอำนาจจากกรุงเทพฯ ในภูมิภาคนี้
เจ้าพระยานครราชสีมา ได้มีใบบอกมายังกรุงเทพฯ
จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เพี้ยเมืองแพนเป็นพระนครศรีบริรักษ์ เจ้าเมือง
โดยให้ยกบ้านบึงบอนขึ้นเป็นเมืองขอนแก่น
ประการที่สอง
เกิดจากนโยบายของทางกรุงเทพฯ โดยตรงกล่าวคือนับตั้งแต่สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี
เมื่อได้รวบรวมอาณาจักร
เป็นปึกแผ่นแล้ว ก็ได้ขยายอำนาจมาทางภาคอีสาน
และดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำโขง โดยเข้าไปมีอิทธิพลในหัวเมืองเวียงจันทร์
จำปาศักดิ์ และหลวงพระบางในปี พ.ศ.
2322
ครั้นถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ หัวเมืองอีสานก็ ได้รับการเอาใจใส่มากขึ้นเห็นได้ชัดเจน
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ
พุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงมีพระราชประสงค์ที่จะตั้งหัวเมืองชั้นนอก
ให้เป็นกำลังของเมืองนครราชสีมา จึงโปรดเกล้าฯ
ให้
เกลี้ยกล่อมพระยาในท้องที่ให้ไปตั้งภูมิลำเนาตามที่สมควรให้เกิดประโยชน์
ใครพาสมัครพรรคพวกไปตั้งอยู่หลักแหล่งจนชุมชน
ณ ที่ใดก็โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งที่นั่นเป็นเมืองมีอาณาเขตปกครอง
ด้วยเหตุนี้ในภาคอีสานจึงมีเมืองต่างๆ ที่ตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1
เป็นจำนวนมากรวมทั้งเมืองขอนแก่นด้วย
ภูมิหลังของกลุ่มคนที่ตั้ง
เมืองขอนแก่น
จากเอกสารทางประวัติศาสตร์ทำให้ทราบว่า เพี้ยเมืองแพนหรือพระนครศรีบรีรักษ์ผู้ตั้งเมืองขอนแก่นนั้นอพยพมาจาก
บ้านชีโหล่น (บางตำราเขียนว่า
"ชีโล่น" ) แขวงเมืองสุวรรณภูมิ
(ปัจจุบันนี้อยู่ในท้องที่อำเภออาจสามารถ
จังหวัดร้อยเอ็ด)
และหากพิจารณาภูมิหลังของชาวบ้านชีโหล่นแล้ว
น่าจะเป็นชุมชนที่อพยพมาพร้อมกับจารแก้ว (ซึ่งเป็นศิษย์สำคัญคนหนึ่งของ
พระครูโพนเสม็ดหรือโพนสะเม็ก) สาเหตุเนื่องจากในปี
พ.ศ. 2197 พระเจ้าต่อนคำ กษัตริย์เวียงจันทร์ ทิวงคต
เปลี่ยนรัชกาล
เป็นพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช ( พ.ศ.
2197-2275 ) บ้านเมืองประสบความวุ่นวาย ท่านพระครูโพนเสม็ดเห็นว่าจะอยู่ลำบาก
เพราะศิษย์โยมมากคิดเป็นห่วงศิษย์โยมทั้งหลายเกรงว่าราชภัยจะมาถึง
เพราะเจ้านายมิถูกใจกัน ต้องมีการหาสมัครพรรคพวก
ในที่สุดราว พ.ศ. 2232 ท่านพระครูโพนเสม็ดจึงชักชวนศิษย์โยมได้ราว
3,000 คนเศษ อพยพออกจากแขวงกรุงศรีสัตนาคนหุต
ซึ่งการอพยพครั้งนี้ทำให้เกิดบ้านเมืองขึ้นตามรายทางทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาแม่น้ำโขงหลายแห่ง
ในที่สุดท่านพระครูได้รับมอบ
อำนาจการปกครองทั้งด้านศาสนจักรและอาณาจักรจากนางแพงเจ้าเมืองนครจำบากนาคบุรี
ท่านพระครูได้เชิญเจ้าหน่อกษัตริย์
มาปกครองอาณาจักรแทน ( พ.ศ.
2256-2280 ) และได้เปลี่ยนนามเมืองใหม่เป็นนครจำปาศักดิ์
พร้อมทั้งได้มีการจัดส่งข้าหลวงและลูกศิษย์ของท่านพระครูไปดูแลรักษาบ้านเมืองต่างๆในเขตอีสานจนทำให้เขตแดนจำปาศักดิ์
ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง
ข้าหลวงลูกศิษย์ท่านพระครูโพนเสม็ดที่ถูกจัดส่งไปดูแลรักษาเมืองต่างๆ
นี้ที่สำคัญคนหนึ่งคือจารแก้ว ผู้ได้รับแต่งตั้งให้
ไปตั้งเมืองท่ง (ทุ่ง) ปัจจุบันคือเมืองสุวรรณภูมิจังหวัดร้องเอ็ด
ส่วนท้าวมืดน้องของจารแก้วไปตั้งเมือง ร้อยเอ็ดประตู (ปัจจุบัน
คือ เมืองร้อยเอ็ด )
กรมการเมืองร้อยเอ็ดไปตั้งมหาสารคาม ดังนั้นเพี้ยเมืองแพนจากบ้านชีโหล่น
แขวงเมืองสุวรรณภูมิซึ่งมาตั้ง
เมืองขอนแก่นนี้น่าจะเป็นกลุ่มชนกลุ่มเดียวกับกลุ่มจารแก้ว
ซึ่งในหนังสือประวัติศาสตร์อีสานของ เติม วิภาคย์พจนกิจ
กล่าวว่า
เพี้ยเมืองแพนเป็นหลานของเจ้าแก้วมงคลหรือเจ้าแก้วบูฮม
ผู้เป็นต้นตอของเมืองร้อยเอ็ดและเมืองสุวรรณภูมิ แต่ประเด็นนี้ยังมี
ข้อขัดแย้งเนื่องจากมีข้อความบางตอนในเอกสาร เรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย
- ลาว ของ นิวัฒน์ พ.ศรีสุวรนันท์ กล่าวว่า เพี้ยเมือง
แพนเป็นคนพวกเดียวกับพระวอพระตา อพยพมาจากหนองบัวลุ่มภูด้วยกัน
เมื่อคราวพระวอพระตาอพยพจากหนองบัวลุ่มภู จึง
ได้แยกไปอยู่เมืองทุ่ง (สุวรรณภูมิ) เจ้าเมืองสุวรรณภูมิเห็นว่ามีผู้คนมากจึงตั้งให้เป็นนายกองอยู่บ้านชีโหล่นดังกล่าว
อย่างไรก็
ตามไม่ว่ากลุ่มเพี้ยเมืองแพน แห่งบ้านชีโหล่น
จะอพยพมาพร้อมกลุ่มจารแก้วหรือพระวอพระตาหรือไม่ก็ตาม หากพิจารณาให้
ซึ้งแล้ว ชนทั้งสองกลุ่มนี้
ก็ล้วนแต่มีภูมิหลังเป็นชาวเมืองเวียงจันทร์ ทั้งสิ้น
การย้ายเมืองขอนแก่น
เมื่อมีการตั้งเมืองขอนแก่นขึ้นแล้ว
ได้ปรากฏว่ามีการย้ายเมืองหลายครั้งด้วยกันดังต่อไปนี้
1. เพี้ยเมืองแพนอยู่ที่บ้านชีโหล่น แขวงเมืองสุวรรณภูมิ มาตั้งเมืองที่บ้านบึงบอน
(ตั้งเมืองขอนแก่น) ในหลักฐานของ
เดิม วิภาคย์พจนกิจ กล่าวไว้ว่า
จากบ้านชีโหล่นมาตั้งที่บ้านดอนกระเทียม หรือดอนกระยอมแขวงเมืองชนบท
ทั้งนี้โดยหาได้
ย้ายมาตั้งที่บ้านบึงบอน ตามที่ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ
จากกรุงเทพฯ ไม่
2. ปลายรัชกาลที่ 1 ได้ย้ายจากดอนกระยอม เมื่อ พ.ศ. 2350 มาตั้งที่ดอนพันชาดท้องที่ตำบลแพง
อำเภอโกสุมพิสัยในปัจจุบัน
ในหนังสือของนิวัฒน์ พ.ศรีสุวรนันท์ ได้กล่าวว่า ปี พ.ศ. 2354 พระนครศรีบริรักษ์
( เพี้ยเมืองแพน ) ถึงแก่กรรม ท้าวจามได้เป็น
พระนครศรีบริรักษ์ เจ้าเมืองแทนพ่อ และได้ย้ายเมืองขอนแก่นไปอยู่บ้านดอนพันชาดนาน
27 ปี
3. ในรัชกาลที่ 3 พ.ศ. 2381 ย้ายจากบ้านดอนพันชาด มาตั้งที่ริมฝั่งบึงบอนหนองเหล็ก
ทางตะวันตกของบ้านโนนทัน
ที่เรียกว่า " บ้านเมืองเก่า " ในหนังสือของนิวัฒน์ พ.ศรีสุวรนันท์
เขียนเล่าว่า ปี พ.ศ. 2381 พระนครศรีบริรักษ์ ( ท้าวอิน ) ซึ่งเป็น
บุตรของเจ้าเมืองคนก่อน ( ท้าวจาม ) ได้ย้ายจากบ้านดอนพันชาดมาอยู่บ้านโนนทัน
ก่อนจะมาตั้งเมืองที่โนนทันได้มาตั้งเมืองอยู่ที่
บ้านท่าริมชี ( บ้านโคกกลาง ) แล้วย้ายไปอยู่บ้านตูม บ้านโนนทอง จนถึงบ้านโนนทัน
ท้าวอินถึงแก่กรรมที่บ้านโนนทันนี้เอง
4. ในรัชกาลที่ 4 พ.ศ. 2398 ย้ายมาที่บ้านโนนทัน ( ฟากบึงบอนตะวันออก ) ห่างจากตัวจังหวัดในปัจจุบัน
8 กิโลเมตร
ท้าวมุ่งน้องชายอยู่บ้านกระบก ( ใกล้ทุ่งสร้าง ) กับท้าวอู่ผู้เป็นหลานได้ย้ายเมืองจากโนนทันไปอยู่ดอนบม
5. พ.ศ. 2433 ย้ายกลับมาตั้งที่บ้านทุ่มเนื่องจาก พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม
เสด็จผ่านแขวงเมืองขอนแก่น
และประทับแรมที่บ้านทุ่ม ทรงเห็นว่าบ้านทุ่มทำเลดีมีผู้คนหนาแน่น ใกล้เส้นทางคมนาคม
ประกอบกับเมืองเดิมอยู่ใกล้ริมชีเกินไป
6. พ.ศ. 2442 บ้านทุ่มกันดารน้ำไม่เหมาะที่จะตั้งเป็นเมืองใหญ่ จึงได้ย้ายกลับมาตั้งที่บ้านเมืองเก่า
โดยศาลากลางจังหวัด
อยู่ตรงโรงต้มกลั่นสุราขอนแก่นในปัจจุบัน
นิวัฒน์ พ.ศรีสุวรนันท์ ได้เขียนเล่าเกี่ยวกับการย้ายครั้งนี้นอกเหนือจาก
เดิม วิภาคย์พจนกิจ เขียนถึงว่า เนื่องจากเมืองอยู่ห่างเส้นทางสายโทรเลข
นครราชสีมา หนองคาย จึงย้ายจากบ้านทุ่มกลับมาอยู่
บ้านบึงบอนเมืองเก่าตามเดิม
7. พ.ศ. 2451 มีการตั้งศาลากลางขึ้นที่พระลับ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง
( ศาลากลางเก่า ) ต่อมา ปี พ.ศ. 2506 -2508
ได้ย้ายศาลากลางมาสร้างใหม่ที่สนามบินเก่า ห่างจากที่เดิม 2 กิโลเมตร
ปัจจุบันเรียกว่า " ศูนย์ราชการ "
เป็นที่สังเกตว่า จากการศึกษาการย้ายเมืองแต่ละครั้งไม่พบสาเหตุของการย้าย
ยกเว้นการย้ายในปี พ.ศ. 2433 จนถึง
พ.ศ. 2442
แนะนำจังหวัดขอนแก่น
" พระธาตุขามแก่น
เสียงแคนดอกคูณ ศูนย์รวมผ้าไหม ร่วมใจผูกเสี่ยว
เที่ยวขอนแก่นนครใหญ่
ไดโนเสาร์ลือก้อง เหรียญทองมวยโอลิมปิก "
จังหวัดขอนแก่น เป็นศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดิน การเศรษฐกิจและสังคม
ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
การคมนาคมขนส่งได้พัฒนาจนสามารถติดต่อเชื่อมโยงกับจังหวัดใกล้เคียงและระหว่างจังหวัดภูมิภาคแถบต่างๆ
ทั่วประเทศ
เป็นไปได้โดยสะดวกรวดเร็ว ทั้งทางรถยนต์ รถไฟ และทางอากาศ
โดยตัวจังหวัดอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ โดยทางรถยนต์
445 กม. และทางรถไฟ 450 กม. ใช้เวลาเดินทางโดยรถโดยสารปรับอากาศประมาณ
7 ชั่วโมง โดยรถไฟ 8 ชั่วโมง และเพียง
45 นาที ทางเครื่องบินโบอิ้ง 737
ภูมิประเทศโดยทั่วไป เป็นที่ราบสูงโคราช
มีพื้นที่สูง - ต่ำ สลับกันเป็นลูกระนาดลาดเทลงไปทางแม่น้ำโขง
มีที่
ราบลุ่มในบางตอนแถบแม่น้ำชีและลำน้ำพอง ทางตอนเหนือของจังหวัดได้แก่
บริเวณอำเภอเมือง อ. น้ำพอง อ. อุบลรัตน์
อ. ภูเวียง ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มเหมาะสำหรับทำนาโดยทั่วไป
ลักษณะดินของจังหวัดขอนแก่น
ส่วนใหญ่เป็นดินชุดร้อยเอ็ด 24.7 % ดินชุดน้ำพอง 8.5 %
และดินชุดโคราช
19.7 % ซึ่งดินทั้ง 3 ชุด ค่อนข้างคล้ายคลึงกันคือ
มีลักษณะหน้าดินลึกเป็นดินร่วนปนทราย การระบายน้ำดี
เก็บความชื้น
ไม่ได้มากนักและมีอินทรีย์วัตถุต่ำ ทางตอนบนของจังหวัดคือ
บริเวณ อ. สีชมพู อ. หนองเรือ อ. เมืองตอนบน อ. น้ำพอง
อ. อุบลรัตน์ กิ่ง อ. หนองนาคำ
คุณภาพของดินจะดีกว่าบริเวณอื่น ประกอบกับอยู่ใกล้แหล่งน้ำคือ
อ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์
ส่วนบริเวณตอนใต้ของจังหวัดได้แก่ พื้นที่
อ. บ้านไผ่ อ. ชนบท อ. มัญจาคีรี อ. พล อ. หนองสองห้อง
อ. แวงใหญ่ และ
กิ่ง อ. โนนศิลา กิ่ง อ. โคกโพธิ์ชัย
ลักษณะดินทั่วไปไม่เหมาะสมแก่การเพาะปลูกและเป็นดินเค็มทั่วไป
ลักษณะภูมิอากาศ ค่อนข้างร้อนและแห้งแล้ง
จำแนกได้ 3 ฤดู คือ
- ฤดูร้อน
เริ่มตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ - เมษายน
- ฤดฝน
เริ่มตั้งแต่เดือน พฤษภาคม - ตุลาคม
- ฤดูหนาว
เริ่มตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน - มกราคม
ฤดูฝนแม้จะยาวนานถึง 6 เดือน แต่โดยทั่วไปจะมีสภาวะฝนทิ้งช่วงในราวเดือน มิถุนายน
และตกหนักในช่วงเดือน
กันยายน โดยสรุปแล้วปริมาณฝนตกในจังหวัดขอนแก่น นอกจากมีปริมาณน้อยแล้วยังประสบกับสภาวะฝนทิ้งช่วงเสมอเป็น
เหตุให้การเพาะปลูกพืชผลประสบความเสียหายจากฝนแล้งเสมอ
การปกครอง
จังหวัดขอนแก่นแบ่งการปกครองเป็น 20
อำเภอ 5 กิ่งอำเภอ
198 ตำบล ( รวมตำบลในเขตเทศบาล
4 ตำบลคือ
เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลเมืองเมืองพล เทศบาลตำบลบ้านไผ่
เทศบาลตำบลชุมแพ )
ศาสนาและวัฒนธรรม
สภาพความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรมของประชาชนในจังหวัดมีน้อยมาก
ส่วนใหญ่มีเชื้อ
ชาติไทย นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 98 และร้อยละ 70
ของชาวขอนแก่น เป็นคนพื้นเมืองที่มีหลักแหล่งเดิมในพื้นที่มาก่อน
จึงมีพฤติกรรมสังคม ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน
จึงไม่มีปัญหาเรื่องชนกลุ่มน้อย
เศรษฐกิจ
ประชากรร้อยละ 80 ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการประกอบอาชีพการเกษตรซึ่งมักประสบปัญหาด้านราคาและผลผลิตต่ำ
จากภัยธรรมชาติอยู่เสมอเมื่อเปรียบเทียบกับประชากรที่อยู่ในเขตเมือง
จะเห็นว่ามีรายได้ที่ต่ำ ทำให้การอพยพเข้าไปขาย
แรงงานในเขตเมืองหรือภูมิภาคอื่นๆ มีมากขึ้น
อีกส่วนหนึ่งก็ได้ออกไปทำงานยังตลาดแรงงานในประเทศตะวันออกกลาง
คาดว่าในอนาคต ประชากรจะมีงานทำในจังหวัดเพราะรัฐและเอกชนหันหน้ามาลงทุนและตั้งโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้น
ดูข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ -->
ข้อมูลจังหวัดขอนแก่น ( www.khonkaen.com )
Main Menu
[ สาระน่ารู้ ] [ บุคลากร ]
[ นักศึกษา ] [ งบประมาณ ]
[ ครุภัณฑ์ ] [ อาคารสถานที่ ]
[ สถานประกอบการ ]