วิศวกรรมเนื้อเยื่อและผิวหนังเทียม
วงการแพทย์คิดค้นการผลิตเนื้อเยื่อเทียมด้วยเทคโนโลยีวิศวกรรมเนื้อเยื่อ
สามารถผลิตเนื้อเยื่อได้หลายชนิด
ขณะนี้สามารถผลิตผิวหนังเทียมในเชิงพาณิชย์ได้แล้ว
คาดว่าต่อไปสามารถพัฒนาขีดความสามารถถึงขั้นผลิตอวัยวะได้

แผ่นตะแกรงบางเบาคล้ายผ้ามุ้งที่ใช้เป็นมัชHิมในการเลี้ยงผิวหนังเทียม
ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานจะมีข้อจำกัดเกี่ยวกับร่างกายหลายๆอย่าง
ดังนั้นจึงไม่อาจดำเนินชีวิตอย่างตามสบายได้
แต่ต้องมีการควบคุมดูแลที่มากกว่าปกติ
หนึ่งในเรื่องที่ผู้ที่เป็นเบาหวานที่ต้องและระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งก็คือการเกิดบาดแผล
ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ที่เป็นเบาหวานมักมีอาการชาตามปลายประสาท
ทำให้การสัมผัสด้อยไปกว่าปกติ
ดังนั้นจึงมีโอกาสเกิดบาดแผลที่ผิวหนังได้ง่าย
ส่วนมากจะเป็นตามแขนขา
อีกทั้งเมื่อผิวหนังเกิดบาดแผลแล้วก็รักษาให้หายได้ยาก
เมื่อบาดแผลเกิดติดเชื้อและลุกลาม
แพทย์ก็จำเป็นต้องตัดอวัยวะส่วนนั้นทิ้งไป
แต่ในปัจจุบัน
ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรักษาบาดแผลได้ง่ายขึ้น
ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการถูกตัดอวัยวะไปได้
เทคโนโลยีที่นำมาช่วยผู้ป่วยเบาหวานนั้นคือการใช้ผิวหนังเทียมซึ่งเป็นความสำเร็จของเทคโนโลยีวิศวกรรมเนื้อเยื่อ
(tissue engineering)
วิศวกรรมเนื้อเยื่อถ้าจะกล่าวโดยย่อก็คือการนำเซลล์เนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตมาเลี้ยงบนมัชHิม
(มัHชิมคือตัวกลางที่ให้เซลล์ยึดเกาะในเพาะเลี้ยง
เปรียบเทียบได้กับการปลูกหญ้าบนดินหรือการเลี้ยงเห็ดบนขอนไม้
ดินหรือขอนไม้ก็คือมัชHิมนั่นเอง)
ที่เหมาะสม
แล้วเซลล์เนื้อเยื่อนั้นก็จะเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนอยู่บนมัชHิมนั้น
เมื่อมีจำนวนมากพอแล้วก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
ดังนั้นถ้าจะว่าไปแล้ว
ผิวหนังเทียมนั้นก็ไม่เทียมอย่างที่คิด
เพราะผลิตขึ้นมาจากเซลล์ผิวหนังจริงๆ
ไม่ได้ใช้วัสดุสังเคราะห์แต่อย่างใด
เทคโนโลยีนี้แม้กล่าวโดยย่อจะฟังดูง่าย
แต่แท้ที่จริงแล้วกว่าที่นักวิทยาศาสตร์จะคิดค้นวิธีการเหล่านี้มาได้ก็เพิ่งไม่กี่ปีมานี้เอง
ดังนั้นจึงไม่ได้ง่ายอย่างที่ฟัง
แต่มีกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเซลล์อย่างมาก
แต่ถึงจะยากอย่างไร
ในที่สุดมนุษย์ก็คิดค้นออกมาจนได้
และสามารถพัฒนาจนผลิตในเชิงพาณิชย์ได้แล้วด้วย
ผิวหนังเทียมที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานอาหารและยา
(FDA) ของสหรัฐอเมริกา
อนุญาตให้ผลิตและจำหน่ายได้นั้นเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทสมิตแอนด์เนฟฟิว
(Smith & Nephew) มีชื่อการค้าว่าเดอร์มากราฟต์
(Dermagraft) ขั้นตอนการผลิตผิวหนังเทียมโดยใช้วิศวกรรมเนื้อเยื่อนั้นพอจะสรุปได้ดังนี้
ขั้นแรก เลือกหามัชHิมที่เหมาะสมเพื่อจะเป็นตัวกลางสำหรับเลี้ยงเซลล์ผิวหนัง
ที่ใช้ในปัจจุบัน
เช่น เอ็นวัวผสมกระดูกอ่อนปลาฉลาม
นำมาทำเป็นแผ่นตะแกรงบางเหมือนผ้ามุ้ง
ขั้นต่อมา
นำเซลล์ไปเลี้ยงบนแผ่นตะแกรงนั้น
เซลล์จะค่อยๆเจริญปกคลุมแผ่นตะแกรงโดยใช้แผ่นตะแกรงเป็นตัวยึดเกาะ
ในการเลี้ยงนั้นจะต้องมีสารอาหารหล่อเลี้ยงเซลล์ให้เจริญเติบโตด้วย
ขั้นที่ 3 หลายสัปดาห์ผ่านไป
ตะแกรงที่ใช้เป็นมัชHิมจะค่อยๆสลายตัวไป
ในที่สุดจะเหลือเพียงเซลล์ผิวหนังที่ถูกเลี้ยงและคงรูปอยู่เป็นแผ่นแทน
จากนั้นนำมาผ่านขั้นตอนวิเคราะห์และตรวจสอบทางชีวเคมีและทางกลเพื่อทดสอบคุณสมบัติของเนื้อเยื่อ
และขั้นสุดท้าย
ผิวหนังเทียมที่ผ่านกระบวนการผลิตและตรวจสอบเรียบร้อยแล้วจะถูกนำไปแช่เย็นไว้เพื่อนำไปใช้กับผู้ป่วยต่อไป
การนำไปใช้ก็ไม่ยาก
แพทย์จะตัดแผ่นเดอร์มากราฟต์ซึ่งอยู่ในรูปของแผ่นผิวหนังขนาดใหญ่ให้ได้ขนาดตามที่ต้องการจะใช้กับผู้ป่วย
จากนั้นนำไปปลูกบนบาดแผลที่ต้องการ
จากการทดลองใช้เดอร์มากราฟต์กับแผลที่เท้าของผู้ป่วยเบาหวานพบว่าได้ผลดี
กล่าวคือ ผู้ป่วยถึงครึ่งหนึ่งสามารถรักษาแผลให้หายได้ภายในเวลาเพียง
3 สัปดาห์ซึ่งนับว่าเร็วมาก
นอกจากใช้กับผู้ป่วยเบาหวานแล้ว
เดอร์มากราฟต์ยังใช้ได้ดีกับแผลไฟไหม้
ทำให้ลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยจากแผลไฟไหม้อย่างได้ผล
แต่ความก้าวหน้าของวงการแพทย์ยังไม่ได้หยุดยั้งแต่เพียงผิวหนังเทียม
เพราะปัจจุบันวงการแพทย์กำลังพัฒนาการสร้างเนื้อเยื่อเทียมอีกหลายชนิด
อาทิ หลอดเลือด
กล้ามเนื้อ
เนื้อเยื่อตับ
ตับอ่อน แม้กระทั่งกระดูกและกระดูกอ่อน
ฯลฯ โดยเฉพาะตับอ่อนนั้น
หากสามารถสร้างเนื้อเยื่อตับอ่อนได้
เมื่อผสมผสานกับเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมศาสตร์
(genetic engineering) เราก็จะสามารถผลิตเนื้อเยื่อตับอ่อนที่สามารถสร้างอินซูลินให้แก่ผู้ป่วยเบาหวานได้
ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเราสามารถรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้ที่ต้นเหตุเลยทีเดียว
|
อุปกรณ์ที่ใช้ในการ
เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกระดูก
|
|
ภาพถ่ายเซลล์เนื้อเยื่อ
กระดูกที่ถูกเพาะเลี้ยง
ด้วยเทคโนโลยีวิศวกรรม
เนื้อเยื่อ
|
และก้าวไปไกลกว่านั้น
นักวิทยาศาสตร์ยังเชื่อว่าสักวันหนึ่งเราจะสามารถผลิตอวัยวะขึ้นมาได้ทั้งชิ้น
เช่น มือหรือเท้าทั้งข้าง
ฯลฯ เพื่อทดแทนอวัยวะแก่ผู้ป่วย
แม้ฟังดูจะเหลือเชื่อ
แต่เรื่องเหลือเชื่อก็อาจเกิดขึ้นได้เสมอด้วยอำนาจของวิทยาการ
ผู้สูงอายุไม่ชอบตู้เอทีเอ็ม
นักจิตวิทยาพบผู้สูงอายุไม่ชอบใช้บริการเงินด่วนจากตู้เอทีเอ็ม
ทางแก้คือต้องออกแบบตู้ให้เหมาะสมขึ้นรวมทั้งมีการให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการใช้ตู้เอทีเอ็ม
ในยุคสมัยที่บริการเงินด่วนเฟื่องฟู
การฝากหรือถอนเงินสามารถทำได้อย่างง่ายดายโดยใช้บริการจากตู้เงินด่วนหรือตู้เอทีเอ็ม
แต่บรรดาธนาคารทั้งหลายเสียลูกค้าส่วนหนึ่งไปโดยไม่รู้ตัวจากการให้บริการด้วยตู้นี้
ลูกค้ากลุ่มนั้นคือกลุ่มผู้สูงอายุนั่นเอง
งานวิจัยชิ้นนี้เป็นผลงานของมหาวิทยาลัยจอร์เจียแห่งสหรัฐอเมริกา
โดยสำรวจพฤติกรรมการใช้บริการจากตู้เอทีเอ็มของชาวอเมริกัน
9,000 คน ผลการสำรวจพบว่าผู้ที่มีอายุเกิน
65 ปีมีเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นที่ใช้บริการฝากถอนจากตู้เอทีเอ็ม
นอกนั้นยังนิยมไปใช้บริการกับธนาคารสาขาต่างๆอยู่
เหตุผลของการไม่นิยมใช้ตู้เอทีเอ็มของผู้สูงอายุมีหลายประการ
แต่ที่สำคัญได้แก่
เรื่องทิศทางแสงกับทำเลที่ติดตั้งเครื่อง
ตู้เอทีเอ็มส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องแสงสะท้อนในจอภาพทำให้ผู้สูงอายุซึ่งสายตาไม่ดีอยู่แล้วมองข้อความในจอภาพได้ยาก
นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องเกี่ยวกับขั้นตอนการกดปุ่มต่างๆที่ยากแก่การเรียนรู้
รวมทั้งยังมีเรื่องความกังวลที่จะถูกโจรกรรมอีกด้วย
ข้อเสนอแนะที่บรรดาผู้สูงอายุฝากให้นำไปปรับปรุงแก้ไขก็คือหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องทิศทางแสงเพื่อให้มองจอภาพได้สะดวกขึ้น
นอกจากนี้ยังควรปรับปรุงขั้นตอนการกดปุ่มต่างๆและมีเมนูช่วยเหลือการใช้งานที่ง่ายต่อการเข้าใจ
รวมทั้งควรให้เวลาในการกดปุ่มต่างๆนานขึ้นเพราะผู้สูงอายุมักคิดและทำอะไรช้า
(ตู้เอทีเอ็มโดยทั่วไปนั้น
เครื่องจะรอให้ผู้ใช้กดปุ่มต่างๆในช่วงเวลาที่จำกัด
หากพ้นเวลารอไปแล้วเครื่องจะเลิกการทำรายการ)
และท้ายสุดควรมีปุ่มสัญญาณเตือนภัยไว้ในตู้ด้วยเพื่อป้องกันการโจรกรรม