เอเวอเรสต์ไม่หยุดสูง

ยอดเขาเอเวอเรสต์
ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก
อยู่ในเทือกเขาหิมาลัยแถบแนวชายแดนทิเบต-เนปาล
เชื่อหรือไม่ว่าภูเขาก็สูงขึ้นได้?
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะว่าเป็นเรื่องเกิดขึ้นแล้วจริงๆ
ยกตัวอย่างเช่นยอดเขาเอเวอร์เรสต์
(Mount Everest) อันเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก
อยู่ในแถบตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัยนั้น
จากข้อมูลล่าสุดมีความสูง
8,709 เมตร และไม่เพียงเท่านั้น
ยอดเขานี้ยังมีความสูงเพิ่มขึ้นปีละ
4 เซนติเมตร!
|
ภาพถ่ายทางอากาศของยอดเขาเอเวอเรสต์
|
ที่เป็นเช่นนี้นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าเกิดจากการโก่งตัวของเปลือกโลก
เมื่อหลายร้อยล้านปีมาแล้ว
ดินแดนต่างๆในโลกยังไม่มีลักษณะเช่นปัจจุบัน
อย่างเช่นแผ่นดินที่เป็นประเทศอินเดียนี้เมื่อก่อนก็เป็นเกาะขนาดมหึมาอยู่ในมหาสมุทร
เมื่อเวลาผ่านไป
เปลือกโลกมีการเคลื่อนที่
ประเทศอินเดียจึงค่อยๆเคลื่อนมาทางเหนือทีละน้อย
จนมาชนกับแผ่นดินที่เป็นทวีปเอเชียและกลายเป็นส่วนหนึ่งของทวีปเอเชียในเวลาต่อมา
ผลจากการเคลื่อนตัวมาชนกันนี้เองทำให้เปลือกโลกบริเวณที่ชนกันเกิดแรงดันและโก่งตัวขึ้นกลายเป็นเทือกเขาหิมาลัยในปัจจุบัน
และการโก่งตัวนี้ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจึงทำให้เทือกเขาหิมาลัยนั้นสูงขึ้นๆ
เมื่อวัดจากยอดเขาเอเวอเรสต์ก็จะพบว่ายอดเขานี้กำลังโตวันโตคืน
คือสูงขึ้นราวปีละ
4 เซนติเมตร
เทือกเขาหิมาลัย
เมื่อมองจากอวกาศ
|
|
ยอดเขาเอเวอเรสต์เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกโดยใช้เกณฑ์วัดจากระดับน้ำทะเล
แต่ถ้าจะนับรวมไปถึงภูเขาในมหาสมุทรด้วยแล้ว
ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ก็จะต้องพ่ายแพ้แก่ภูเขามูนา
คีอา (Mauna Kea) ในแถบหมู่เกาะฮาวาย
ชื่อนี้เป็นภาษาพื้นเมือง
แปลว่า ภูเขาสีขาว
มูนา คีอานี้มีความสูงถึง
10,044 เมตร หรือกว่า
10 กิโลเมตร แต่ส่วนที่โผล่พ้นน้ำสูงเพียงสูง
4,139 เมตร
น้ำเสียมหาภัย
นักวิทยาศาสตร์พบน้ำเสียมีผลทำให้กบในแหล่งน้ำเหล่านั้นมีสภาพพิกลพิการและกำลังเร่งค้นหาสาเหตุที่แท้จริง
เพราะเมื่อเป็นอันตรายแก่กบได้ก็ย่อมเป็นอันตรายแก่สิ่งมีชีวิตอื่นๆรวมทั้งมนุษย์ได้
|
|
|
|
สภาพความพิการของกบซึ่งเป็นผลมาจากสารพิษลึกลับในแหล่งน้ำ
|
นักวิทยาศาสตร์พบน้ำเสียมีผลทำให้กบในแหล่งน้ำเหล่านั้นมีสภาพพิกลพิการและกำลังเร่งค้นหาสาเหตุที่แท้จริง
เพราะเมื่อเป็นอันตรายแก่กบได้ก็ย่อมเป็นอันตรายแก่สิ่งมีชีวิตอื่นๆรวมทั้งมนุษย์ได้
เหตุการณ์นี้เกิดในรัฐมินเนโซตา
ประเทศสหรัฐอเมริกา
จากการสังเกตของชาวท้องถิ่นพบว่าในระยะ
2-3 ปีมานี้พบกบที่มีลักษณะพิกลพิการเป็นจำนวนมากในแหล่งน้ำหลายแห่ง
ความพิการที่เกิดขึ้นนี้มีตั้งแต่มีขาไม่ครบ
มีขาเกิน ไม่มีตา
และมีอวัยวะภายในไม่ครบสมบูรณ์
เมื่อเป็นเช่นนี้
สถาบันวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติของสหรัฐฯจึงเข้าไปดำเนินการสอบสวนหาสาเหตุ
จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าความพิการนี้เกิดจากน้ำในแหล่งน้ำที่กบอาศัยอยู่นั่นเอง
จิม เบิร์กฮาร์ต
นักวิทยาศาสตร์ประจำสถาบันได้ทำการทดสอบในห้องทดลองโดยนำไข่กบจำนวนหนึ่งไปแช่ไว้ในน้ำที่เก็บมาจากแหล่งน้ำที่สงสัยเปรียบเทียบกับน้ำสะอาด
เมื่อกบฟักเป็นตัวปรากฏว่ากบที่เกิดจากแหล่งน้ำที่สงสัยมีลักษณะพิกลพิการ
ส่วนกบที่เกิดจากแหล่งน้ำสะอาดมีลักษณะปกติ
นั่นแสดงว่าในน้ำจากแหล่งน้ำดังกล่าวต้องมีอะไรบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อการเจริญของสิ่งมีชีวิต
แต่ก็ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นอะไรกันแน่
เบิร์กฮาร์ตกล่าวว่าหลายคนคาดว่าปรากฏการณ์นี้เกิดจากฤทธิ์ของเมโทรพีนอันเป็นยาฆ่าแมลงชนิดหนึ่งที่เกษตรกรใช้และทำให้ยาแพร่ลงมาในแหล่งน้ำ
แต่ตนยังไม่ปักใจเช่นนั้นเพราะเมโทรพีนไม่ได้เป็นสารเพียงตัวเดียวที่ทำให้กบพิการเช่นนี้ได้
ยังมีสารที่ให้ผลเช่นนี้ได้อีกหลายสิบชนิด
ดังนั้นจึงควรวิเคราะห์หาต้นตอที่แท้จริง
และที่ร้ายกว่านั้นก็คือรายงานเกี่ยวกับกบผิดปกติที่ว่านี้ไม่ได้มาจากรัฐมินเนโซตาเพียงรัฐเดียว
แต่ยังมีรายงานลักษณะคล้ายๆกันจากรัฐอื่นๆอีกกว่าสิบรัฐในสหรัฐอเมริกา
รวมทั้งยังมีรายงานจากแคนาดาด้วย
ดังนั้นจึงน่าเป็นห่วงว่าสารพิษลึกลับนี้จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ด้วยเพราะสารพิษต่างๆในแหล่งน้ำสามารถแพร่ไปถึงมนุษย์ได้ตามสายใยอาหาร
ซึ่งหากได้รับและสะสมในร่างกายมากๆก็จะเป็นผลร้ายต่อร่างกาย
รวมทั้งหากสะสมในหญิงมีครรภ์ในปริมาณมากๆก็อาจมีผลต่อทารกในครรภ์ได้
แต่ตราบใดที่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แท้จริงได้ก็ยังไม่สามารถหาทางป้องกันหรือแก้ไขได้
ขนาดในประเทศที่มีมาตรฐานในการควบคุมมลพิษสูงอย่างสหรัฐฯและแคนาดายังพบได้ขนาดนี้
แล้วในประเทศที่กำลังพัฒนาหรือที่ยังไม่ค่อยพัฒนาที่มีกฎหมายควบคุมมลพิษล้าหลังรวมทั้งประชาชนยังขาดความรู้เกี่ยวกับการป้องกันตนเองจากมลพิษจะมีสภาพที่เลวร้ายกว่าขนาดไหน
คิดแล้วก็น่าเป็นห่วง